วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

สาขาต่างๆของจิตวิทยา

สาขาต่างๆของจิตวิทยา

จิตวิทยาคลินิก



Ψ จิตวิทยาคลินิกจะมีจุดที่เน้นอยู่ 2 ส่วน คือ การทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา
(ระดับ A คือนักจิตวิทยาสาขาอื่นไม่สามารถทำได้เช่น rorchach WAIS เป็นต้น) และทำจิตบำบัด
การเรียนจะเกี่ยวกับอาการผิดปกติทางจิต ทั้งเรื่องโรค พยาธิสภาพ การใช้เครื่องมือหรือแบบวัดทางจิต เพื่อใช้ในการตรวจเป็นข้อมูลประกอบในการวินิจฉัยโรคทางจิต การทำจิตบำบัด
งาน - ตรงตามสายงานคือเป็นนักจิตวิทยาคลินิกในโรงพยาบาล เพื่อทำการประเมินและบำบัดทางจิตแก่ผู้ป่วยทางจิตเวช เป็นนักจิตวิทยาตามสถานพินิจหรือศาล เพื่อทำการประเมินสภาพจิตของผู้ต้องหา รวมทั้งทำกิจกรรมหรือบำบัดทางจิตแก่ผู้ต้องขัง ตอนนี้ทางจิตวิทยาคลินิกมีการสอบใบประกอบโรคศิลปแล้ว ซึ่งทำให้คาดว่าน่าจะสามารถเปิดคลินิกบำบัดได้เช่นเดียวกับในต่างประเทศ และจะทำให้สามารถรับงานอิสระได้มากขึ้น



จิตวิทยาอุตสาหกรรมฯ



Ψ จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ (Industrial and Organizational Psychology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาจิตวิทยา เพื่อนำมาประยุกต์กับการทำงานและนำมาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีของบุคลากรทุกระดับในบริบทของการทำงาน ยังผลให้องค์การสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประเทศไทยที่จำเป็นต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มคุณภาพประสิทธิภาพ และผลิตภาพ(ที่มา:http://www.psy.chula.ac.th/psy/files/ProgramIO.pdf)
Ψ เรียนตั้งแต่คัดเลือกคนเข้าทำงานให้เหมาะสม จะมีคำที่เป็นคติของจิตอุตฯว่า put the right man on the right job อีกส่วนก็คือการฝึกอบรมพนักงาน คือเรียนเกี่ยวกับการพยายามให้งานที่จะออกมานั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึง ทรัพยากรมนุษย์ ด้วยอะค่ะ
งานที่ตรงสาขาที่สุดก็เลยเป็นตำแหน่งฝ่ายบุคคล หรือเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมตามบริษัทหรือโรงงานต่างๆ



จิตพัฒนาการ



Ψ จิตพัฒนาการจะเน้นที่การส่งเสริมพัฒนาการของบุคคลในทุกช่วงวัยให้เป็นไปตามพัฒนาการของและช่วงวัย ซึ่งมักจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเด็กและวัยรุ่น เรียนพัฒนาการทุกช่วงวัย ทั้งทางร่างกาย จิตใจ ความต้องการทางสังคม การใช้ชีวิต ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่, อุแว้ๆ ออกมา เป็นทารก เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น, ผู้ใหญ่จนกระทั่งแก่ตาย
Ψ จิตวิทยาพัฒนาการเป็นเสมือนสาขาใหญ่ของจิตวิทยาที่เรียนเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ในทุกช่วงวัย ซึ่งสามารถศึกษาต่อเฉพาะช่วงวัยได้อีกเช่น จิตวิทยาเด็ก จิตวิทยาวัยรุ่น เป็นต้น สาขานี้เกิดจากแนวความคิดที่จะอธิบายพฤติกรรม จิตใจ รวมทั้งความสามารถต่างๆของมนุษย์ในแต่ละช่วงวัย และเพื่อที่หาหาแนวทางที่จะทำให้มนุษย์มีพัฒนาการที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยของตนเอง



จิตวิทยาสังคม



Ψ จิตวิทยาสังคม เป็นวิชาที่ศึกษาพฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์ โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อทำความเข้าใจอิทธิพลของสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์(ที่มา: http://www.sau.ac.th/main/Subject/pc102/lesson1.pdf )



จิตชุมชน



Ψ จิตวิทยาชุมชนนั้นแยกออกมาจากจิตวิทยาคลินิกอีกทีแต่จะเป็นการทำงานในทางป้องกันมากกว่ารักษา จิตวิทยาชุมชนจะมีลักษณะที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือจะเป็นเหมือนจุดกึ่งกลางระหว่างจิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาอุตสาหกรรม และจิตวิทยาสังคม งานที่ส่วนใหญ่มักเข้าไปทำคือการฝึกอบรม



จิตวิทยาการปรึกษา



Ψ จิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ การปรึกษาเชิงจิตวิทยา (Counseling) ซึ่งเป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้มีปัญหาได้ทำความเข้าใจกับปัญหาของตน และมองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง โดยนักจิตวิทยาการปรึกษา (Counselor) มีหน้าที่เป็นผู้เอื้อให้ผู้มีปัญหาได้เข้าใจปัญหาของตนอย่างชัดเจนที่สุด นักจิตวิทยาการปรึกษาจะไม่เข้าไปบงการ แนะนำ หรือ แทรกแซง ผู้รับบริการ แต่ละช่วยให้เค้าสามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตัวเอง
ผู้เข้ารับบริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาจะได้รับประโยชน์ ในแง่ของการเกิดความเข้าใจในตนเอง และสามารถวางแนวทางการดำเนินชีวิตตนเองได้อย่างเหมาะสม สามารถเผชิญสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างมั่นคง และสามารถจัดการปัญหาของตนได้อย่างสอดคล้องและเหมาะสมกับความเป็นจริง และยังช่วยให้ค้นพบศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ในการพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ขยายทัศนะการสองโลก และชีวิตก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองในทางที่ดี
ระ (ที่มา: http://www.psy.chula.ac.th/psy/files/intro_counseling.pdf )



จิตวิทยาการแนะแนว



Ψ ก็เรียนไปทางเป็นอาจารย์แนะแนวในโรงเรียนอะค่ะ เรื่องที่เรียนเช่น หลักการแนะแนวในโรงเรียนเพื่อพัฒนานักเรียน /ความเข้าใจเกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เพื่อให้สามารถจำแนก ช่วยเหลือและพัฒนานักเรียนได้อย่างเหมาะสม/วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในงานแนะแนว

จิตวิทยาทั่วไป : ชาย ขอ เงียบ หญิง ขอ เคลียร์ !!

จิตวิทยาทั่วไป

ชายขอเงียบ หญิงขอเคลียร์ !!

ความแตกต่างระหว่าง ผู้ชาย ผู้หญิง

เอเจนซีส์ – ความที่ผู้ชายไม่ชอบพูดเวลามีปัญหา อาจทำให้ภรรยาหรือแฟนที่ช่างเจรจาเดือดปุดๆ และดูเหมือนว่าพฤติกรรมต่างขั้วนี้จะหยั่งรากมาตั้งแต่เด็ก

งานศึกษาระบุว่า ผู้ชายส่วนใหญ่แค่ไม่เห็นประโยชน์ในการเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่เพราะต้องการจะปิดกั้นความรู้สึกแต่อย่างใด

นักวิจัยเผยว่า ขณะที่เด็กผู้หญิงเชื่อว่าการพูดถึงปัญหาที่บางครั้งเป็นไปอย่างชนิดไม่ยอมจบ ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น แต่เด็กผู้ชายกลับคิดว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า และกลยุทธ์นั้น ‘พิลึก’ ทั้งนี้ทัศนคติที่ตรงข้ามกันนี้อาจเป็นที่มาของการปีนเกลียวในความสัมพันธ์ในอนาคต

ดร.อแมนดา โรส จากมหาวิทยาลัยมิสซูรี สหรัฐฯ ทำการศึกษา 4 ชุด ครอบคลุมเด็กและวัยรุ่นเกือบ 2,000 คน

"นักจิตวิทยาชื่อดังพูดกันมานานแล้วว่าเด็กผู้ชายและผู้ชายอยากพูดถึงปัญหา แต่ต้องเก็บกดไว้เพราะลำบากใจและกลัวถูกมองว่าอ่อนแอ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเราถามเด็กผู้ชายว่า การพูดถึงปัญหาทำให้รู้สึกอย่างไร ปรากฏว่าพวกเขาไม่ได้แสดงความโกรธหรือเครียดเกี่ยวกับการพูดคุยเรื่องปัญหามากไปกว่าเด็กผู้หญิง
แต่คำตอบบ่งชี้ว่า เด็กผู้ชายแค่ไม่คิดว่าการพูดถึงปัญหาเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์เท่านั้น"

ดร.โรสเสริมว่า การค้นพบนี้ยังช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมชายและหญิงจึงมีทัศนคติต่างกันในการจัดการกับปัญหาความสัมพันธ์

“ผู้หญิงจะรบเร้าให้แฟนระบายความกังวลออกมา เพราะคิดว่าจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ผู้ชายอาจไม่สนใจ และคิดว่ามีวิธีแก้ไขแบบอื่น ผู้ชายยังมีแนวโน้มมากกว่าที่จะคิดว่าการพูดกลับยิ่งทำให้ปัญหาบานปลาย แต่การปลีกตัวไปทำกิจกรรมอื่นช่วยขจัดปัญหาไปจากสมองได้”

ในการศึกษาก่อนหน้านี้ ดร.โรสแสดงให้เห็นว่า การพยายามทบทวนปัญหาตลอดเวลาทำให้ผู้หญิงยิ่งเครียดและกังวล

“โดยเฉพาะปัญหาที่ผู้หญิงควบคุมไม่ได้ เช่น ผู้หญิงอีกคนชอบตนหรือเปล่า จะได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้ที่มีแต่คนเด่นคนดังไปหรือไม่”

ดร.โรส ซึ่งรายงานผลการศึกษาไว้ในวารสารไชด์ ดิเวลอปเมนท์ กล่าวว่าพ่อแม่ควรเรียนรู้จากผลการค้นพบนี้ และส่งเสริมให้ลูกชายตระหนักว่าบางครั้งการเปิดเผยความในใจเป็นสิ่งที่ควรทำ และในทางกลับกัน ควรสอนลูกสาวว่าการหมกมุ่นครุ่นคิดถึงปัญหามากเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี

ขอบคุณข้อมูลจิตวิทยาทั่วไปดีๆจาก ผู้จัดการออนไลน์

จิตวิทยาความรัก : ตกหลุมรัก ของ หนุ่ม สาว ใช้เวลาต่างกัน

จิตวิทยาความรัก
ตกหลุมรัก ของ หนุ่ม สาว ใช้เวลาต่างกัน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผลสำรวจที่กระทำต่อผู้ชายและผู้หญิงกลุ่มละ 1,500 คน อายุระหว่าง 16-86 ปี พบว่า ผู้ชาย 1 ใน 5 จะตกหลุมรักเพียงแค่แรกเห็น และกว่าครึ่งหนึ่งจะรู้ถึง "ผู้หญิงที่ใช่" ภายหลังได้ออกเดทด้วยกันเพียง 1 ครั้ง และเกือบ 1 ใน 3 จะตกหลุมรักหลังออกเดทได้ 3 ครั้ง ขณะเดียวกัน ผู้หญิง 1 ใน 10 เท่านั้นที่จะมีประสบการณ์รักเพียงแรกเห็น โดยส่วนใหญ่จะคอยจนกว่าเดทครั้่ง 6 ก่อนที่จะตัดสินใจว่า พวกเธอได้พบผู้ชายที่ใช่แล้วหรือไม่

ผลสำรวจนี้ถือเป็นหักทฤษฎีก่อนหน้านี้ที่เชื่อว่า ผู้หญิงมักเป็นเพศที่มีโอกาสตกหลุมรักโดยฉับพลันจากประสบการณ์ของตัวเอง โดยผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างทัศนะของชายและหญิงเกี่ยวกับความหมายของการตกหลุมรักและวิธีการเลือกคู่ครองของแต่ละเพศ

ศาสตราจารย์อเล็กซานเดอร์ กอร์ดอน นักจิตวิทยา กล่าวว่า ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะวัดระดับปัจจัยของเพศตรงข้ามอย่างคร่าว ๆ และฉาบฉวยกว่า เช่น ใบหน้า ว่า พวกเขาควรจะตกหลุมรักหรือไม่ ส่วนผู้หญิงจะซับซ้อนกว่า โดยพวกเธอจะชั่งน้ำหนักระหว่างส่วนดีและส่วนเสียก่อนจะตัดสินใจ โดยผู้หญิงจะอ่านสถานการณ์ทางสังคมได้ดีกว่าผู้ชาย และน่าจะตั้งคำถามกับตัวเองมากกว่า หลังจากมีเดท เช่น ผู้ชายที่คุยด้วย ทำให้เธอรู้สึก"มั่นคง"หรือไม่ หรือ"สามารถ"เป็นพ่อที่ดีของลูกเธอได้หรือไม่ และกล่าวได้ว่า ผู้หญิงจะเฉียบแหลมกว่าผู้ชายในการเลือกคู่ชีวิต

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ประสบการณ์รักครั้งแรก โดยทั้งชายและหญิง ต่างคิดว่ารักครั้งแรกเป็นความรักที่ติดตัวพวกเขายาวนานที่สุด โดย 1 ใน 4 บอกว่า พวกเขาไม่สามารถลืมรักเก่าได้อย่าง 100 %


ขอบคุณข้อมูล จิตวิทยาความรัก ดีๆจาก มติชนออนไลน์

จิตวิทยาทั่วไป : สมองหญิงต่างจากชายจริงหรือ?

จิตวิทยาทั่วไป

สมองหญิงแตกต่างจากชายจริงหรือ??
หลายคนที่ชอบอ่านพ๊อกเก็ตบุคเล่มเล็กๆคงเคยได้ยิน ชายมาจากดาวอังคาร หญิงมาจากดาวศุกร์กันบ้างแล้ว ซึ่งทีมงานกรมสุขภาพจิตก็เคยนำเสนอบทความดังกล่าวมาแล้ว พบว่าชายหญิงนั้นมีความแตกต่างกันที่นอกเหนือจากสรีระร่างกายแล้ว ในเรื่องความแตกต่างในเชิงวิธีคิดก็มีความต่างกัน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพื่อยืนยันความแตกต่างกันในเชิงความสามารถของสมองก็มีเช่นกัน ดังจะกล่าวต่อไปนี้

เมื่อเร็วๆนี้นิตยสารชื่อดังเช่นไทม์ ฉบับ 28 มีนาคม 2549 กล่าวเน้นให้เห็นความเชื่อดังกล่าวข้างต้น ซึ่งก็กลายมาเป็นข้อจำกัดบางเรื่องของสาวๆและแม่บ้านทั้งหลาย ผู้เคยชินกับการที่ตัวเองมีความสามารถในการจัดการกับปัญหาต่างๆในบ้าน และหรือนอกบ้าน (ในที่ทำงาน)ได้อย่างละเมียดละไม เรียนรู้เรื่องภาษาได้อย่างรวดเร็ว มีทักษะด้านความจำที่เหนือกว่าหนุ่มๆหรือพ่อบ้านได้อย่างเป็นจินตภาพ แตกต่างจากหนุ่มๆหรือพ่อบ้านที่มักจะขาดทักษะในการแก้ปัญหาที่มีรายละเอียดมาก (หรือเมินในการจดจำเรื่องราวต่างๆ) แต่มีความถนัดในเรื่องวิศวะอิเลกทรอนิกซ์ เครื่องยนต์กลไก เพราะมีพื้นฐานทักษะทางคณิตศาสตร์ การบวกลบคูณหารที่ดีกว่า นั่นเป็นเพราะว่าโครงสร้างทางสมองของเพศหญิงแตกต่างจากสมองของเพศชาย

จริงหรือไม่มีหลายคนคงสงสัยเช่นกัน

จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ด้านสมอง (neuroscientist) ที่ชื่อซานด้าน วิเทลสัน ได้ทุ่มเทเวลาศึกษาเรื่องสมองมนุษย์ โดยเฉพาะในประเด็นที่หลายคนอาจจะตั้งคำถามไว้ในใจว่า "เหตุใดอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จึงได้ฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก" การศึกษาครั้งนั้นได้สร้างชื่อเสียงให้เธอในช่วงทศวรรษที่ 1990 เป็นอย่างมาก ช่วงทศวรรษให้หลัง แซนด้าก็มีศึกษาหาคำตอบว่าปัจจัยให้สมองของเพศหญิงแตกต่างจากเพศชายเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน อุปนิสัย อาหาร และยาที่ใช้

จากการศึกษาพบว่า เมื่อขณะที่เราเป็นเด็กนั้น โครงสร้างทางสมองของเด็กหญิงและเด็กชาย โดยเฉพาะทักษะความสามารถทางคณิตศาสตร์นั้นไม่มีความแตกต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสมมติฐานนั้นจะเป็นเช่นเดิม โดยจากการศึกษาพบว่าความแตกต่างจะเริ่มปรากฎให้เห็นเมื่อเด็กย่างเข้าสู่วัยเรียนในระดับเกรด 4 (ก็คงวัยชั้นประถมในบ้านเรา) ก่อนที่จะพัฒนาไปเรื่อยๆให้เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างเพศหญิงกับเพศชายมากยิ่งขึ้น โดยยืนยันได้จากผลการทดสอบ SAT (การทดสอบมาตรฐานทางคณิตศาสตร์) ที่เด็กวัยมัธยมบ้านเรารู้จักกันดีที่สัดส่วนคะแนนของเด็กหญิงจะได้น้อยกว่าเด็กชาย

อะไรที่บอกความแตกต่างทางโครงสร้างของสมองบ้าง

1. สมองส่วน Parietal Lobe แต่ก่อนมีความเชื่อว่าในเพศหญิงสมองส่วนนี้จะใหญ่กว่าเพศชายนั้น ไม่จริงเสียแล้ว

2. สมองส่วน Corpus Callosum ซึ่งเป็นส่วนที่เส้นประสาทสมองมีการเชื่อมต่อกันเพื่อให้เห็นพัฒนาการทางด้านความฉลาด จะเห็นการพัฒนาที่มีความแตกต่างกันระหว่างเพศหญิงและเพศชาย

3. สมองส่วน Prefrontal Cortex เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการด้านความคิดที่จะพัฒนาต่อไปเป็นอารมณ์ ในเพศหญิงพบว่ามีการใช้สมองส่วนนี้ทำงานมากกว่า

4. อมิกดาลา (Aygdala) เป็นส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำที่ลึกลับซับซ้อน หรือเป็นส่วนที่บางคนจะบอกว่าเป็นความจำเจ็ดชั่วโคตร ในเพศชายที่มีทักษะความสามารถด้านการควบคุมอารมณ์ได้ดี จะมีเส้นประสาทสมองเชื่อมต่อกับสมองส่วนนี้น้อย (หรือจะยืนยันความเป็นจริงที่ว่า เพศชายเขามักจะมีความทรงจำอะไรๆได้ไม่ดีนักเพราะเกี่ยวข้องกับสมองส่วนนี้หรือเปล่า) ในขณะที่เพศหญิงที่มีทักษะทางด้านภาษาศาสตร์จะพบการเชื่อมต่อของเส้นประสาทสมองส่วนนี้มีมากขึ้น (ท่านชายทั้งหลายอย่ามองข้าม ตรงนี้ยืนยันได้ว่าความจำของสตรีในบางเรื่องเป็นความจำที่เป็นเลิศ นั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับสมองส่วนนี้)

5. Cerebellum หรือสมองส่วนท้าย ในสมองส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับทักษะทางการเรียนรู้ ดังเช่น ทักษะทางคณิตศาสตร์ ดนตรี และทักษะทางสังคม เช่นเดียวกับสมองในส่วนข้อ 2 คือ Corpus Callosum จะมีความแตกต่างกันอย่างสมบูรณ์ระหว่างเพศหญิงและเพศชาย

จากการศึกษาของแซนด้ายังบอกอีกว่า จากโครงสร้างของสมอง โดยเฉพาะในส่วนของข้อ 3 Prefrontal Cortex (ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังหน้าผากจากมองมองสรีระภายนอก) ทำให้เพศชายเมื่อโตขึ้นจะมีความโผงผาง ดุดันกว่าเพศหญิง แถมเมื่อนานวันเข้า ก็มีโอกาสเสียเนื้อเยื่อที่ช่วยในการควบคุมตนเอง ขณะที่เพศหญิงกลับมีการพัฒนาเนื้อเยื่อในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้เราเห็นการพัฒนาของสมองส่วนนี้จาก คุณแม่ คุณป้า คุณย่า คุณยาย ที่จะมีความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นตามวัย (จริงเท็จอย่างไรก็ลองกลับไปดูคนที่บ้านดูแล้วส่งข้อมูลยืนยันความเชื่อนี้แลกเปลี่ยนกันด้วยจะเป็นพระคุณ)

จากผลงานเรื่องนี้จึงเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดี เพื่อนำไปสู่การศึกษาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆที่มีผลมากจากความผิดปกติของสมอง เช่น ออทิสติก อัลไซเมอร์ รวมไปถึงโรคจิตเภท ซึมเศร้า ช่วยเป็นแสงนำทางเราไปสู่การป้องกัน รักษาโรคเหล่านี้ได้มากขึ้นในอนาคต

เร็วๆนี้มีตัวอย่างคนไข้รายหนึ่ง ที่เปิดเผยเพื่อเป็นกรณีศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเพลซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์ยอนห์ แวน เดอมิเต กล่าวว่า มีเด็กหญิงวัยประถมรายหนึ่งมาพบจิตแพทย์ด้วยปัญหาไม่สามารถเรียนคณิตศาสตร์ได้ แต่เด็กมีทักษะทางภาษาศาสตร์ที่ดีมาก โดยเป็นตัวแทนชุมชนในการกล่าวสุนทรพจน์ เป็นนักพูด เรียนวรรณคดี และภาษาศาสตร์ได้ดี

ตอนหลังครู ผู้ปกครอง และเด็ก ก็ร่วมกันหาทางออกโดยการเปลี่ยนวิธีการเรียนคณิตศาสตร์แบบปกติทั่วไป เป็นการเรียนโดยใช้สัญญลักษณ์เชิงภาษาศาสตร์ที่เด็กมีความชำนาญ คือสื่อสารในแบบที่เด็กเข้าใจ ซึ่งต่อมาเด็กก็สามารถเรียนคณิตศาสตร์จนสามารถสอบได้คะแนนดีเยี่ยมตามมาทีหลังได้

กล่าวโดยสรุป ความเชื่อที่ว่าความสามารถทางสมองของเด็กหญิงและชายนั้นมีความแตกต่างกันที่เห็นได้ชัดคือวัยประถม เป็นสมมติฐานที่มีการศึกษามามากพอ แต่ในโลกยุคสมัยใหม่ที่มีการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง มีการวิจัยศึกษาและพัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ รวมถึงการมีพฤติกรรมสุขภาพของแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์ มีการอบรมเลี้ยงดูที่ดี ถึงแม้ว่าระหว่างเพศหญิงและชายจะมีลักษณะสมองที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะมองไม่เห็นแนวทางที่จะมีการส่งเสริมให้เด็กมีทักษะในสิ่งที่เด็กไม่มีพื้นฐานความชำนาญให้มีขึ้นมาได้ ตัวอย่างที่กล่าวถึงก็อาจจะเป็นแนวทางให้ผู้ปกครองหลายคนได้เรียนรู้ว่า ลูกหลานของเราสามารถที่จะพัฒนาการเรียนรู้ให้ชำนาญขึ้นมาใหม่ได้ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมเสริมต้นทุนที่เขาเหล่านั้นมีอยู่ให้มีมากยิ่งขึ้นต่อไปอีก

ปัจจุบัน เราจึงเห็นว่าลูกสาว หลานสาวเราทำคะแนนคณิตศาสตร์ได้สูสีกับเด็กผู้ชาย สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นวิศวะกร เป็นหมอเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคณะที่เรามักจะเห็นกันเฉพาะเพศชายมากกว่าเพศหญิง เช่นคณะวิศวะกรรมศาสตร์ ไปถึงคณะวิทยาศาสาต์ทางด้านการแพทย์ ชีวะ เคมี วิทยาศาสตร์อื่นๆมากขึ้น ซึ่งเห็นความชัดเจนมากขึ้นในการเรียนคณะดังกล่าวแม้แต่ในต่างประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ในประเทศเราเอง


ข้อมูลจาก นิตยาสารไทม์ ฉบับวันที่ 28 มีนาคม 2549 และนิตยสารชีวจิต ฉบับเดือนธันวาคม 2549

ขอบคุณข้อมูล จิตวิทยาทั่วไป จาก กรมสุขภาพจิต
photo credit : camb-ed.com.au

จิตวิทยาทั่วไป : ชาย-หญิง คิดต่าง

จิตวิทยาทั่วไป : ชาย-หญิง คิดต่าง

บุรุษเพศจะพยายามหนีห่างจากสังคม แต่ผู้หญิงกลับหันเข้าหาสังคม บางคนอาจจะเข้าไปเข้าเครือข่ายสังคมออนไลน์...

นักจิตวิทยาสหรัฐฯค้นพบว่า ผู้ชายกับผู้หญิง จะประพฤติสวนทางกันเมื่อยามเครียด โดยสตรีจะพยายามผูกมิตรกับคนต่างๆ หรือไม่ก็หันเข้าหาเครือข่ายทางสังคม แต่ฝ่ายบุรุษเพศกลับทำตัวเป็นคนหนีห่างโลก

ทีมนักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย ได้พบในการศึกษาว่า เพศทั้งสองเมื่อเวลาเครียด ต่างจะประพฤติสวนทางกัน

นักวิทยาศาสตร์เคยบอกไว้ก่อนหน้าว่า คนเราเมื่อเกิดเครียดขึ้นมา เช่น ต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าหนักๆ เรามักจะทำอยู่ 2 ทาง คือไม่สู้ ก็หนี แต่บัดนี้นักจิตวิทยาพบว่า เป็นแต่เฉพาะกับผู้ชายเท่านั้น

บุรุษเพศจะพยายามหนีห่างจากสังคม แต่ผู้หญิงกลับหันเข้าหาสังคม บางคนอาจจะเข้าไปเข้าเครือข่ายสังคมออนไลน์ด้วยซ้ำ



ขอบคุณข้อมูลจิตวิทยาทั่วไปดีๆจาก ไทยรัฐออนไลน์

จิตวิทยาทั่วไป : ความลับของผู้ชาย

จิตวิทยาทั่วไป
ความลับของผู้ชาย

ใครๆ ก็บอกว่าผู้ชายมาจากดาวอังคาร (หนังสือขายดีของ ดร.จอนห์ เกรย์ ที่เขียนถึงความแตกต่างของหญิงชาย เพื่อให้เกิดการยอมรับและเข้าใจ ลดความขัดแย้ง ในการสร้างสัมพันธภาพระหว่างกัน) วันๆ คิดแต่เรื่องกีฬา เบียร์ และเรื่องบนเตียง (บางทีอาจสลับกันก็ได้) พวกผู้ชายไม่ยอมถามเส้นทางเมื่อหลง ไม่เปิดเผยความรู้สึกในใจจริงไหม รายงานพิเศษของเราจะตีแผ่ความลับของผู้ชายซึ่งคุณอาจต้องประหลาดใจ


ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง และความเชื่อเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของชาย


ใครสะอื้นไห้เวลาดูหนังเศร้า ใครจะเป็นจะตายเวลาอกหัก ไม่น่าเชื่อว่าคำตอบคือผู้ชาย ผลการศึกษาเผยว่าผู้ชายมีอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อนและเข้าใจยากไม่แพ้ผู้หญิง บางครั้งอาจลึกลับจนแม้ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ นับประสาอะไรกับผู้หญิง

แม้อารมณ์จะเป็นจุดเด่นที่สุดของผู้หญิงแต่ผู้ชายก็มีความอ่อนไหวและมีประสบการณ์ด้านอารมณ์ได้มากพอๆกัน ในการศึกษาภาวะด้านอารมณ์ของผู้ใหญ่ 500,000 คน กลุ่มตัวอย่างเพศชายระบุว่ารู้สึกอ่อนไหวสูงพอๆ กับกลุ่มตัวอย่างเพศหญิง การศึกษาคู่สามีภรรยาพบว่าทั้งสองอ่อนไหวต่อความเครียดของคู่สมรสมากเท่าๆ กัน แต่ก็สามารถปลอบโยนอีกฝ่ายได้ดีไม่แพ้กัน

แม้หญิงชายอาจถอนหายใจ ร้องไห้ เฮฮา กราดเกรี้ยว ตะโกน หรือแสดงความรำคาญได้บ่อยพอกัน แต่ทั้งสองเพศมีวิธีแสดงอารมณ์ต่างกัน “อารมณ์เป็นฉากหลังในชีวิตของผู้ชายขณะที่เป็นฉากหน้าในชีวิตของผู้หญิง” ดร. จอช โคลแมน นักจิตวิทยาผู้เขียนหนังสือ สามีจอมขี้เกียจ กล่าวว่า “ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชายซึ่งจัดหมวดหมู่สิ่งต่างๆ และมองทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า ดูเหมือนหญิงจะโอนอ่อนตามอารมณ์มากกว่าชายซึ่งพยายามจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์ดีขึ้นและทั้งคู่ก็มีความสุขมากขึ้น”


กลไกในสมอง
เมื่อ 13 ปีที่แล้ว คริส ชโรเดอร์ นักธูรกิจวัย 48 มีชีวิตเพียบพร้อม สุขภาพแข็งแรงมีงานที่ชอบ มีภรรยาและลูกสุดที่รักสองคน แต่ภายในหนึ่งเดือน ทุกอย่างก็พังทลายลง เมื่อเขาป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบจนต้องเข้าพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล จากนั้นก็ถูกปลดออกจากงาน ชีวิตแต่งงานอับปางลง เขาคาดไม่ถึงว่าชีวิตจะเลวร้ายถึงเพียงนี้ คริสทวนความหลังว่า “ผมดำเนินชีวิตต่อไปแบบซังกะตาย แต่ไม่แสดงความรู้สึกในใจมากนัก ผมไม่เฉลียวใจเลยว่าเราควรปลดปล่อยความกลัดกลุ้มออกมาบ้าง และไม่รู้ด้วยว่าควรปล่อยอย่างไร”

ทำไมผู้ชายขาดความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ คำตอบคือต้องโทษสมอง ดร. เดวิด พาวเวล ประธานศูนย์ปฏิบัติการด้านสุขภาพนานาชาติ อธิบายว่า สมองของหญิงมีการสื่อสารระหว่างซีกซ้ายซึ่งควบคุมระบบเหตุผลกับซีกขวาซึ่งควบคุมการทำงานของอารมณ์ได้ดีกว่าสมองของชาย

ทั้งหมดนี้อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมผลการศึกษาในกลุ่มสังคมต่างวัฒนธรรม 125 ฉบับ จึงระบุว่าเด็กชายกับผู้ชายตีความสารที่ได้สื่ออกมาเป็นคำพูด เช่น อากัปกิริยา สีหน้า และน้ำเสียงของคู่สนทนาผิดพลาดกว่าผู้หญิง ผู้ชายยังมีปฏิกิริยาต่ออารมณ์น้อยกว่าและลืมได้เร็วกว่า

การทดลองที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า ภาพสะเทือนอารมณ์ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในสมองของหญิงมากกว่าชาย สามสัปดาห์ต่อมา ผู้หญิงยังจำรายละเอียดของภาพได้มากกว่า นักวิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่าผลการศึกษานี้น่าจะอธิบายว่าทำไมผู้หญิงจึงพร่ำบ่นเรื่องหยุมหยิมที่สามีลืมไปตั้งนาแล้ว

การหย่าร้างซึ่งที่จริงส่งผลกระทบต่อจิตใจของชายมากกว่าหญิงนั้น บางครั้งทำให้ผู้ชายต้องสำรวจอารมณ์ของตัวเองเสียใหม่ “นานหลายปีที่ผมต่อสู้กับความกลัดกลุ้ม ซึ่งสุมแน่นอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อใด ที่คุณตระหนักว่ามีอารมณ์บางอย่างคุกรุ่นอยู่ในใจ คุณจะรู้สึกว่าเก็บกักไว้เหมือนเดิมได้ยาก ตอนนี้ผมใช้ชีวิตให้มีค่าขึ้น รับรู้สมองฝ่ายความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ถ้ารู้อย่างที่รู้ก่อนหน้านี้ ผมคงจะเป็นสามีที่ดีกว่านี้” นี่คือคำสารภาพของคริสซึ่งแต่งงานใหม่เมื่อไม่นานนี้หลังครองสถานะม่ายร่วมสิบปี


น้ำตาลูกผู้ชาย

ครั้งแรกที่โรเบิร์ต เวสต์โอเวอร์ วัย 41 เห็นพ่อร้องไห้ คือวันที่เขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนาวิกโยธินซึ่งทั้งพ่อและปู่เคยเรียนมาก่อน เนื่องจากเติบโตมากับพี่น้องผู้ชายสามคนในครอบครัวทหาร โรเบิร์ตจึงได้รับการปลูกฝังให้กินเร็ว พูดดังฟังชัดชอบการแข่งขันและเก็บกดความรู้สึก “การแสดงอารมณ์เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้ชาย” โรเบิร์ตกล่าว

เด็กชายทุกคนได้รับการสั่งสอนแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก พออายุหนึ่งขวบก็เริ่มสบตาน้อยกว่าเด็กหญิง และหันไปสนใจกับสิ่งที่เคลื่อนไหว เช่น รถยนต์ มากกว่าจะมองหน้าคน พ่อ-แม่แสดงความรู้สึกกับลูกชายน้อยกว่ากับลูกสาว (ยกเว้นอารมณ์โกรธ) เด็กชายจึงรู้จักคำศัพท์เกี่ยวกับ “อารมณ์” น้อยกว่าเด็กผู้หญิง เวลาอยู่ในสนามเด็กเล่นนอกบ้าน เด็กชายถูกสอนว่าต้องกลั้นน้ำตาและไม่ขี้ขลาด เมื่อเข้าโรงเรียนใบหน้าของเด็กชาย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเปิดเผยไม่ต่างจากเด็กหญิงเริ่มแสดงอารมณ์น้อยลงเรื่อยๆ

พอโตเป็นผู้ใหญ่ ชายจะพูดน้อยลง อย่างน้อยเวลาอยู่หน้าสาธารณชน ชายจะพูดเพื่อแสดงว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น ตรงข้ามกับผู้หญิงซึ่งจะพูดเพื่อดึงดูดความสนใจคนรอบข้าง แม้แต่กับเพื่อนส่วนใหญ่ ผู้ชายก็อาศัยคำพูดเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านงานช่าง กีฬา รถยนต์ คอมพิวเตอร์ “ผู้หญิงพูดเพื่อให้หัวสมองปลอดโปร่ง แต่ผู้ชายคิดก่อนพูด” นายแพทย์มาร์ก กูลส์ทัน จิตแพทย์และผู้แต่งหนังสือ เคล็ดลับหกประการให้สัมพันธภาพยืนยาว (The 6 Secrets of Lasting Relationship) “ถ้าไม่คิดก่อนพูดผู้ชายอาจหลุดปากพูดอะไรโง่ๆ ออกไปจนเสียหน้า หรืออาจพูดไม่เข้าหูคนจนกลายเป็นเรื่องชกต่อย ทางที่ดีคือไม่พูดอะไรเลย”

อะไรซ่อนอยู่ภายหลังหน้ากากเหล็กและความเงียบขรึมของผู้ชาย ความอ่อนแอไงละ ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าผู้ชายส่วนใหญ่รู้สึกไม่มั่นคงโดยตัวเองยากจะยอมรับ และไม่มั่นคงเกินกว่าที่ภรรยาคาดเดาไว้ “ผู้ชายทุกคนมีความกลัวลับๆ อยู่อย่างหนึ่งว่าจะไร้สมรรถภาพและความกล้าหาญ เรียกว่ากลัวตัวเองจะไม่เป็นชายอย่างที่ควรจะเป็น หมอกูลส์ทันกล่าว “ผู้ชายรู้ว่ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้าข้าวของในบ้านพังจะต้องซ่อมได้ เมื่อรู้สึกว่าตนไร้ความสามารถก็จะถอยห่างและปลีกตัวออกไป”

กฎเกณฑ์และบทบาทระหว่างชายหญิงเริ่มผ่อนปรนบ้างแล้ว ชายบางคนกล้าพอจะเปิดเผยความอ่อนแอของตน แต่หลายคนยังสับสนว่าควรเปิดเผยแค่ไหน “ผู้หญิงบอกว่าอยากให้พวกเราเปิดเผยความรู้สึก” โรเบิร์ตกล่าว “แต่เดี๋ยวก็บอกว่าอยากเห็นเราเป็นหลักอันมั่นคงให้เธอ เหมือนเรียกร้องให้เรากระโดดไปมาระหว่างความสุดโต่งสองขั้ว ซึ่งสับสนมาก ผู้ชายไม่มีแนวทางหรือตัวอย่างว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเปิดเผยความรู้สึกและเข้มแข็งไปพร้อมกัน"


ทำไมผู้ชายระเบิดอารมณ์

แม้ผู้หญิงจะรู้สึกโกรธบ่อยพอๆ กับผู้ชาย แต่ความฉุนเฉียวก็ยังเป็นอารมณ์ประจำตัวเพศชายอยู่ดี “ลูกยังพูดถึงตอนที่ผม “เบรกแตก” อยู่เลย” คิม การ์เรทัน พนักงานบริษัทวัย 54 ปี ซึ่งเคยระเบิดอารมณ์สุดขีดในร้าน เมื่อพนักงานนำอาหารเย็นชืดมาเสิร์ฟ

แล้วทำไมผู้ชายหลายคนถึงแสดงอาการกราดเกรี้ยว “ความโกรธมีสาเหตุมาจากจิตใจที่สับสนเมื่อต้องเก็บกดอารมณ์บางอย่างไว้ ชายทุกคนพยายามเก็บความรู้สึกเพราะกลัวว่าการเปิดเผยเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การปอกเปลือกจนหมดใจ” ดร. เคนแนท ดับเบิลยู. คริสเตียน นักจิตวิทยาและผู้เขียนศัตรูตัวร้ายของคุณ (Your Own Worst Enemy) กล่าว “ถ้าคุณไม่หาทางปลดปล่อยมันออกมาบ้างหรือหาวิธีจัดการอย่างถูกต้องอารมณ์เหล่านี้จะเป็นเหมือนไฟคุกรุ่น รอเวลาลุกโหมขึ้นมาเมื่อชีวิตของคุณพังครืนลง เพราะปัญหาบางอย่าง”

ชีวิตคิมพังทลายเมื่อสี่ปีก่อนหลังหมอลงความเห็นว่าเขาเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก สิ่งที่ตามมาก็เหมือนกับสิ่งที่เกิดกับชายหลายคนเมื่อรู้ว่าตัวเองป่วยหนัก คิมตระหนักว่าชีวิตเขาไม่มีอะไรต้องเสีย มีแต่ได้เท่านั้น ขอเพียงปล่อยให้ตัวเองมีอารมณ์ตามจริง “ผมกล้าแสดงอารมณ์ทุกอย่าง” คิมกล่าว “ถ้าโกรธ ผมก็ระบายด้วยคำพูดเจ็บแสบแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป ผมใช้อารมณ์ขันเป็นทางออกและกลับไปติดต่อกับเพื่อนเก่าๆ ตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิต แสวงหาความหมายทางจิตวิญญาณ ชีวิตผมเต็มไปด้วยความสุขและรื่นรมย์”


ลองวิธีนี้


ผู้ชายสามารถแสดงอารมณ์โดยไม่ต้องร้องไห้หรือรู้สึกกลัว ต่อไปนี้เป็นวิธีเริ่มต้น

หาวิธีแสดงอารมณ์อย่างสร้างสรรค์หางานอดิเรกอย่างวาดรูปหรือเล่นดนตรี ผลงานศิลปะอันยิ่งใหญ่จำนวนมากเป็นการสร้างสรรค์ของเพศที่ได้ชื่อว่าเก็บกดที่สุด

ระบายความเครียดและโกรธด้วยการออกกำลัง “เมื่อรู้สึกกดดันสุดขีดจนอยากเอาหัวชนฝา ให้รีบหาทางออกกำลัง บางทีแค่สิบนาทีอาจยังไม่พอ”

แสดงอารมณ์ออกไป “นิดหน่อย” เริ่มจากความรู้สึกที่คุณควบคุมได้หาคนที่เข้าใจและใช้คำว่า “นิดหน่อย” เช่น เศร้า “นิดหน่อย” หรือ กลัว “นิดหน่อย” อย่างนี้จะปลอดภัยกว่าการเปิดเผยจนหมดเปลือก

เดินหน้าเข้าชน “แทนที่จะหลีกเลี่ยงอารมณ์ที่คุณไม่แน่ใจว่าจะจัดการได้ ทางที่ดีคือเดินหน้าเข้าหา” ดร. ทราวิส แบรดเบอรี่ นักจิตวิทยา กล่าว “การจัดการกับอารมณ์ของตนเป็นเรื่องที่อาศัยเวลาและการฝึกฝนเพราะเป็นการฝึกสมอง แต่ยิ่งทำก็ยิ่งง่าย”


ผู้ชายสามารถแสดงอารมณ์โดยไม่ต้องร้องไห้หรือรู้สึกกลัว ต่อไปนี้เป็นวิธีเริ่มต้น

หาวิธีแสดงอารมณ์อย่างสร้างสรรค์หางานอดิเรกอย่างวาดรูปหรือเล่นดนตรี ผลงานศิลปะอันยิ่งใหญ่จำนวนมากเป็นการสร้างสรรค์ของเพศที่ได้ชื่อว่าเก็บกดที่สุด

ระบายความเครียดและโกรธด้วยการออกกำลัง “เมื่อรู้สึกกดดันสุดขีดจนอยากเอาหัวชนฝา ให้รีบหาทางออกกำลัง บางทีแค่สิบนาทีอาจยังไม่พอ”

แสดงอารมณ์ออกไป “นิดหน่อย” เริ่มจากความรู้สึกที่คุณควบคุมได้หาคนที่เข้าใจและใช้คำว่า “นิดหน่อย” เช่น เศร้า “นิดหน่อย” หรือ กลัว “นิดหน่อย” อย่างนี้จะปลอดภัยกว่าการเปิดเผยจนหมดเปลือก

เดินหน้าเข้าชน “แทนที่จะหลีกเลี่ยงอารมณ์ที่คุณไม่แน่ใจว่าจะจัดการได้ ทางที่ดีคือเดินหน้าเข้าหา” ดร. ทราวิส แบรดเบอรี่ นักจิตวิทยา กล่าว “การจัดการกับอารมณ์ของตนเป็นเรื่องที่อาศัยเวลาและการฝึกฝนเพราะเป็นการฝึกสมอง แต่ยิ่งทำก็ยิ่งง่าย”

ผู้หญิงต้องรู้


“ชายก็เหมือนปูเสฉวน” คริสกล่าว “ถ้าเปิดเผยความรู้สึกแล้วต้องเจ็บปวดเพิ่ม เราจะหดกลับเข้าไปในกระดองและไม่โผล่หัวออกมาอีก เราไม่ยอมให้ใครมาถากถางหรือเยาะเย้ยเราต้องบ่มตัวเองอยู่นานกว่าจะรู้สึกปลอดภัย” ต่อไปนี้เป็นวิธีที่ผู้หญิงสามารถทำได้เพื่อช่วยให้ผู้ชายข้างกายรู้สึกสบายใจที่จะแสดงความรู้สึก

เวลาพูด ให้อยู่”เคียงข้าง” แทนที่จะ “ประจันหน้า” นักจิตวิทยากล่าวว่า การยืนเผชิญหน้ากับผู้ชายจะทำให้เขารู้สึกว่าถูกท้าทายและยั่วยุ เพราะฉะนั้น แทนที่จะนั่งตรงข้ามกับสามี ควรนั่งข้างๆ เขา

ทำกิจกรรมประเภทกีฬาร่วมกัน เวลาปั่นจักรยานหรือเดินป่า ปราการในหัวใจผู้ชายจะอ่อนบางลง ดังนั้น จึงควรปล่อยให้เรื่องราวต่างๆ ผุดขึ้นมาอย่าเร่งเร้าให้พูดเวลาเดิน เพราะเขาอาจปิดปากเอาดื้อๆ

หัดดูหนังชีวิตแบบผู้ชาย หนังชีวิตเกี่ยวกับกีฬาทำให้ผู้ชายไม่น้อยซึ้งถึงกับน้ำตาซึม “กีฬาเป็นเครื่องยึดโยงระหว่างผู้ชายกับพ่อ สำหรับผู้ชายนี่คือรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อ” อย่าพยายามวิเคราะห์หรือวิจารณ์ชีวิตวัยเด็กของเขา

อย่ากดดันให้เขาพูดว่าผจญอะไรมาบ้างในวันเลวร้ายสุดๆ “ถ้าวันไหนทุกอย่างแย่ไปหมด เขาเองก็ไม่อยากพูดถึงความเจ็บปวดแบบนี้หรอก” นักจิตวิทยากล่าว “จะมีประโยชน์อะไรกับการนั่งคุยเรื่องหดหู่ตลอดค่ำในเมื่อไม่ช่วยให้แก้ปัญหาได้”

แสดงออกไม่ต้องพูด การพูดคุยอาจเป็นวิธีแสดงอารมณ์ที่ผู้หญิงนิยมใช้มากที่สุด “ผู้ชายแสดงอารมณ์ด้วยภาษากาย” นักจิตวิทยากล่าวว่า “เพศสัมพันธ์เป็นวิธีแสดงความรักอีกอย่าง” แทนที่จะบีบคั้นให้ผู้ชายถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดทางที่ดีควรหัดพูดภาษาของเขา

หาทางทำให้เขาทราบเมื่อคุณต้องการกำลังใจ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยโทเลวิจัยพบว่าสามีอาจอ่อนแอและต้องการกำลังใจไม่ต่างจากภรรยา เพียงขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาเท่านั้น “ผู้ชายไม่ถึงกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่ภรรยาต้องทำให้เขาทราบว่าตัวภรรยาเองต้องการอะไรและเมื่อไหร่”

บอกสามีว่าเขามีความหมายต่อคุณเพียงไร “เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังให้ถามสามีว่า “ทุกวันนี้ ฉันทำให้คุณรู้สึกชื่นชมและให้เกียรติคุณน้อยกว่าเมื่อตอนเจอกันครั้งแรกหรือเปล่า” จิตแพทย์แนะ “บอกเขาว่าคุณรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกโชคดีมากที่ทีเขามาร่วมชีวิตด้วย และขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกให้รู้เช่นนั้นบ่อยๆ เชื่อว่าคุณผู้ชายจะต้องถึงอ้าปากค้างแน่นอน”

ขอบคุณข้อมูลจิตวิทยาทั่วไปดีๆจาก ไดแอน เฮลส์/ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ มิถุนายน 2549 หน้า 81-87



จิตวิทยาความรัก : จะรู้ได้ไง ว่าหญิงมีใจ

จิตวิทยาความรัก

จะรู้ได้ไง ว่าหญิงมีใจ

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิง จะรักจะชอบใครมันก็ต้องเก็บอาการกันบ้าง แต่การเก็บงำอารมณ์แบบนี้ ยิ่งทำให้ผู้ชายที่กำลังตามส่งข้าวส่งน้ำ อาจจะรู้สึกท้อแท้ใจจนไม่อยากสู้ต่อ ไทยรัฐออนไลน์จึงอยากช่วยให้ชายหนุ่มมีกำลังใจในการพิชิตใจสาวในฝัน ด้วยการสังเกตท่าทาง หรือการกระทำบางอย่างของผู้หญิงที่หมายปอง ว่าตอนนี้เขากำลังชอบคุณตอบกลับมาเหมือนกัน

1. สนใจในสิ่งที่คุณสนใจ
ผู้หญิงที่เริ่มจะเทใจให้กับคุณผู้ชาย จะตั้งต้นศึกษาในกิจกรรมที่คุณสนใจ อย่างเช่น ภาพยนตร์ รถยนต์ หรือแม้แต่เกม เพื่อให้การสนทนาและการออกเดทราบรื่น และยิ่งทำให้คุณผู้ชายทั้งหลายรู้สึกคลั่งในตัวหญิงสาวคนนี้ เพราะว่าพูดคุยกันด้วยภาษาเดียวกัน

2. หัดเล่นกีฬาที่ไม่ชอบ
ถ้าผู้หญิงแอบหัดไปฝึกเล่นกีฬาที่ชายหนุ่มคนที่มาจีบชอบเล่นในช่วงวันหยุดแล้วล่ะก็ ขอให้ฟันธงได้เลยว่า คุณเธอมีใจให้คุณเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากพวกเธอคิดว่าการใช้เวลาช่วงวันหยุดด้วยการเล่นกีฬาพร้อมกัน จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์รุดหน้า และเป็นการเอาใจฝ่ายชายไปในตัว

3. ข้าวกล่องสื่อรัก
เสน่ห์ปลายจวักของผู้หญิงถือเป็นบ่วงรักที่ผู้ชายหลายคนถอนตัวไม่ขึ้น จึงไม่แปลกที่สาวๆส่วนใหญ่เลือกจะโชว์ฝีมือการทำอาหาร และนำมามอบให้กับชายที่หมายปอง โดยพวกเธออาจจะสงวนท่าทีว่า ทำมาเยอะเลยเอามาแบ่งให้ทาน หรือลองทำสูตรใหม่ก็อยากให้ชิมดู ซึ่งหนุ่มๆก็สมควรจะขอบคุณอย่างสุดซึ้ง พร้อมกับรับประทานให้หมด แม้รสชาติจะไม่ถูกปากก็ตามที

4. ยอมรับข้อเสีย
ถ้าผู้หญิงหยุดบ่นในสิ่งที่ขวางหูขวางตา และมองว่าสิ่งที่ชายตรงหน้ากำลังทำเป็นเรื่องที่อดทนได้ ถือว่าผู้หญิงกำลังมีใจ เนื่องจากเพศหญิงมักเป็นฝ่ายบ่น จู้จี้ ไม่สามารถหยุดปากจะพูดถึงสิ่งที่ไม่ชอบไม่ได้หรอก หากคนที่ทำตรงหน้าเป็นแค่เพื่อน แต่ถ้าฝ่ายหญิงเริ่มมองว่าคุณเป็นคนพิเศษ ความเกรงใจและอดทนจึงเกิดขึ้น

5. เชื่อมั่นในทุกคำพูด
ลองผู้หญิงรู้จักความรักแล้วล่ะก็ ความมั่นใจในตัวเองจะเริ่มถดถอยลง จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง จะเริ่มถามหาคำปรึกษาจากชายหนุ่มผู้มาติดพันมากขึ้น ปล่อยให้เรื่องทุกเรื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตที่ต้องการคู่คิดตลอดเวลา ตั้งแต่ซื้อเสื้อผ้า รองเท้า ไปจนถึงเรื่องเส้นทางบนท้องถนน ดังนั้นหากผู้หญิงเริ่มขยันโทรหาฝ่ายชาย โดยถามเรื่องเล็กๆน้อยๆก็สามารถคอนเฟิร์มได้เลยว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังวางใจ และพร้อมจะรับคุณเข้ามาร่วมอนาคตด้วยกัน

ข้อมูล : nwso.net Twitter : quet

ขอบคุณข้อมูล จิตวิทยาความรัก จากไทยรัฐออนไลน์

photo credit : add-th-vanillasky.blogspot.com, dexknows.com, weheartit.com

จิตวิทยาความรัก : เดทครั้งแรก.. ทำยังไงดี โดย ดร.แพง ชินพงศ์

จิตวิทยาความรัก
เดทครั้งแรก.. ทำยังไงดี

โดย ดร.แพง ชินพงศ์

เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เมื่อคนสองคนเกิดมีความรู้สึกพึงพอใจในกันและกันเป็นพิเศษ ก็ย่อมจะมีความต้องการที่อยากจะใช้เวลาในการเรียนรู้ซึ่งกันและกันให้มากยิ่งขึ้นไปกว่าการรู้จักและพบเจอกันในแบบเพื่อนฝูงธรรมดา ดังนั้นการออกเดทครั้งแรกจึงถือเป็นด่านแรกของการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีที่ไม่แน่ว่าอาจจะยืนยาวต่อไปในอนาคตก็เป็นได้ จึงถือว่ามีความสำคัญมากทีเดียวที่เราจะใช้เดทแรกในการเรียนรู้คนที่เรารู้สึกแบบพิเศษด้วย ซึ่งหลักการออกเดทครั้งแรกให้ประสบความสำเร็จและประทับใจควรทำอย่างไรบ้าง

1.การเตรียมตัว

ไม่ว่าจะทำอะไรหากเตรียมตัวมาดีก็ต้องถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะอย่างน้อยก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเราได้ไม่มากก็น้อย อย่างแรกที่เราต้องเตรียมสำหรบการออกเดทครั้งแรกคือการเตรียมเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าหรือชุดที่สวมใส่ต้องสะอาดเรียบร้อย ไม่ใช่ยับยู่ยี่เหมือนเพิ่งขุดเอามาจากใต้เตียง และควรเลือกแบบที่เหมาะสมกับสถานที่ ๆ นัดหมายไปพบกัน เช่น ถ้านัดไปสวนสนุกก็ควรใส่ชุดแบบทะมัดทะแมง ไม่ใช่ใส่เดรสสั้นกุดคงหมดสนุกกันทั้งคู่ หรือถ้านัดเจอที่ภัตตาคาร ร้านอาหารหรือโรงแรมหรู ๆ ก็ควรแต่งตัวให้ดูดีให้เกียรติสถานที่ ไม่ใช่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะหนีบ เสื้อกล้าม บางคนคิดว่าอยากแสดงความเป็นตัวเองให้คู่เดทเห็นตั้งแต่ครั้งแรกเลยแต่งตัวแบบที่ชอบและพอใจโดยไม่คำนึงถึงกาลเทศะ เดทครั้งแรกนี้อาจจะทำให้คู่เดทของเราคิดหนักได้เหมือนกัน และสำหรับฝ่ายหญิงควรแต่งหน้าทาปากบ้างเพื่อเพิ่มความสดใสให้ฝ่ายชายรู้สึกว่าคุณให้ความสำคัญในการนัดเจอเขาครั้งแรก แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรแต่งหน้าให้มากเกินไปจนดูเว่อร์เพราะจะทำให้เขารู้สึกว่าคุณเป็นคนที่เยอะและสนใจแต่ตัวเอง

นอกจากนี้การเตรียมตัวจัดหาสิ่งของจำเป็นที่จะนำติดตัวไปด้วยในเดทครั้งแรกก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า กระดาษทิชชู่ ปากกา สมุดโน้ต โทรศัพท์มือถือ เงิน และควรตรวจสอบสถานที่และเวลาในการนัดเดทให้ดีว่านัดที่สถานที่ไหน เวลาใด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องจดจำให้แม่นยำ อย่าให้เกิดความผิดพลาดได้ เพราะถ้าไปผิดที่ผิดเวลา เดทแรกอาจล่มไม่เป็นท่าเพราะคู่เดทเขาจะรู้สึกว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเดทครั้งนี้เลย


2.การแสดงออกทางภาษากาย

รอยยิ้มเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้คุณดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อเจอคู่เดทของคุณภาษากายอย่างแรกที่คุณควรทำคือ การส่งรอยยิ้มไปให้เขา เพราะคงไม่มีใครชอบคนหน้าตาบูดบึ้ง หรือเฉยชามากกว่าคนที่ยิ้มง่ายอย่างแน่นอน นอกจากนี้การที่คุณยิ้มให้เขายังเป็นการแสดงออกที่ทำให้เขารู้สึกว่าคุณกำลังมีความสุขและพึงพอใจที่ได้อยู่ใกล้เขาอีกด้วย

นอกจากรอยยิ้มแล้ว การแสดงออกทางสายตาก็สำคัญไม่แพ้กัน ที่มีคำกล่าวว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจก็คงไม่ผิดนัก ดังนั้น คุณควรใช้การแสดงออกทางสายตาให้เป็นประโยชน์ โดยการที่เวลานั่งคุยกับเขา คุณควรสบตาคู่เดทของคุณเป็นระยะ ๆ ให้เขารู้สึกว่าคุณใส่ใจในการพูดของเขา อย่าให้ความเขินอายมาบดบังความมั่นใจตรงนี้ของคุณ เพราะการหลบตาคู่เดท อาจทำให้เขารู้สึกอึดอัดและอาจมองว่าคุณมีความรู้สึกทางลบเกี่ยวกับเขาซ่อนอยู่ในใจก็เป็นได้ สำหรับฝ่ายชายไม่ควรใช้สายตาในทางเจ้าชู้เพราะจะทำให้ฝ่ายหญิงอึดอัดหรือรู้สึกไม่ปลอดภัยได้

การแสดงออกทางกายที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ การล้วงแคะแกะเกาส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น แคะฟัน แคะจมูก การจามหรือการไอโดยไม่ปิดปาก การสั่งน้ำมูก การเรอระหว่างรับประทานอาหาร การเคี้ยวอาหารเสียงดัง การเอามือล้วงกระเป๋าหรือนั่งกอดอกตลอดเวลา เหล่านี้เป็นมรรยาท และเป็นการแสดงออกที่ไม่พึงกระทำเป็นอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าคู่เดทของเรา

3.การสนทนา

ควรเริ่มจากการทักทาย ถ้าอีกฝ่ายมีอายุมากกว่า ฝ่ายที่อายุน้อยกว่าควรยกมือไหว้ทักทายและกล่าวคำสวัสดีอย่างสุภาพ เพราะมันจะสร้างความประทับใจและทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเอ็นดูในกิริยาที่น่ารักของเรา หัวข้อในการสนทนาไม่ควรจะพูดแต่เรื่องของตัวเองฝ่ายเดียว แต่ควรเริ่มจากการคุยในเรื่องทั่ว ๆ ไป เช่น เรื่องกิจกรรมยามว่าง งานอดิเรก หนังสือหรือภาพยนตร์ที่ชอบ แฟชั่น อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว เมื่อรู้สึกว่าการพูดคุยเริ่มลื่นไหลก็ค่อย ๆ เขยิบเข้าในเรื่องใกล้ตัวมาก ขึ้น เช่น เรื่องงาน เรื่องการเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องสุขภาพ

นอกจากนี้ คุณควรเป็นคนที่รู้จักใช้คำพูดในทางชื่นชม เพื่อทำให้คู่เดทของคุณรู้สึกว่าเขาเป็นคนพิเศษที่คุณให้ความสนใจ เช่น เสื้อสวยจังเลยค่ะ คุณยิ้มสวยจังครับ ผมทรงนี้เหมาะกับคุณดีนะคะ และการพูดคุยควรมีมุขตลกบ้างเพื่อสร้างบรรยากาศที่แจ่มใส สนุกสนาน แต่ต้องไม่ใช่ตลกแบบหยาบโลนลามก และสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับการสนทนาคือคุณต้องไม่ลืมที่จะเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย เพราะคงไม่มีใครคนไหนที่อยากมีแฟนเป็นคนพูดมากจ้อไม่หยุด พล่ามไปเรื่อย และในขณะเดียวกันคุณก็อย่านั่งเงียบเป็นมนุษย์หินเพราะจะทำให้บรรยากาศอึมครึม น่าอึดอัด จนอาจจะทำให้คู่เดทของคุณเกิดความรู้สึกอยากจะหนีกลับบ้านไปเลยก็เป็นได้

4.การจ่ายเงิน

เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญและละเอียดอ่อนมากสำหรับเดทแรก เวลาไปเดทที่อาจจะนัดพบรับประทานอาหารกันก็ต้องมีการจ่ายค่าอาหาร การจ่ายเงินก็มีอยู่2แบบ คือ 1.แบบอเมริกันแชร์ อันนี้อาจจะเพื่อความสบายใจของทั้ง 2 ฝ่ายที่เมื่อนัดเดทครั้งแรกได้ผ่านไปแล้ว อาจรู้สึกไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ต่อไปว่า จะคบกันในฐานะเพื่อนหรือแฟนดี การจ่ายเงินแบบอเมริกันแชร์คือต่างคนต่างจ่ายนั้นก็ดีที่สุด 2.ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นคนจ่าย ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายชายที่จะจ่ายให้ฝ่ายหญิงเพราะนั่นเป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่าเขาต้องการจะเป็นคนดูแลคุณ ซึ่งเมื่อเขายินดีที่จะจ่าย คุณก็ควรจะน้อมรับอย่างสุภาพด้วยการยกมือไหว้หรือกล่าวขอบคุณ โดยที่อย่าพยายามออกตัวหรือแย่งเขาจ่ายเงินเด็ดขาด เพราะนั่นอาจทำให้เขารู้สึกว่าคุณกำลังไม่ให้เกียรติเขาอยู่ก็เป็นได้ แต่ถ้าคุณรู้สึกอยากจะตอบแทนเขาบ้างก็อาจซื้อขนมหรืออะไรเล็กน้อยตอบแทนน้ำใจของเขาได้ในภายหลัง

5.การลาจากกัน

ก่อนจะลาจากกันทั้งสองฝ่ายอย่าลืมกล่าวคำขอบคุณสำหรับความสุขและความประทับใจในการที่ได้ใช้เวลาด้วยกัน และสำหรับการนัดเดทครั้งแรกนั้นไม่ควรจะกลับบ้านดึกมากเกินไป ซึ่งอย่างช้าที่สุดไม่ควรเกินเวลาสองทุ่ม ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางกลับ และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการที่ฝ่ายชายให้เกียรติกับฝ่ายหญิง และเป็นการแสดงออกถึงการวางตัวที่ดีของฝ่ายหญิงเอง

ขอบคุณข้อมูล จิตวิทยาความรัก จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มกราคม 2012

จิตวิทยาความรัก : ผลวิจัย เกี่ยวกับเดทแรก กับการจ่ายค่าอาหาร

จิตวิทยาความรัก
ผลวิจัย เกี่ยวกับเดทครั้งแรก กับการจ่ายค่าอาหาร

เอเจนซี– ชี้หนุ่มยิ่งดูดี ผู้หญิงยิ่งอยากให้เป็นคนจ่ายสำหรับเดทแรกเพราะเชื่อว่าคุ้มค่ากับที่ตนต้องเสียทั้งเงินและเวลาแต่งหน้าทำผม แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่สาวยืนกรานขอจ่ายหรือขอแชร์ แปลว่าหนุ่มไม่เร้าใจพอและคงไม่มีนัดครั้งต่อไป

เพราะต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับเสื้อผ้าหน้าผม ไหนจะเสียเงินซื้อชุดใหม่และทำเล็บ ดังนั้น สาวสวยเลือกได้จึงเชื่อว่าผู้ชายควรเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับเดทแรกและคุ้มค่ากับความสุขใจจากการได้อยู่ด้วยกัน

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดริวส์ในสก็อตแลนด์ ศึกษาชาย-หญิง 416 คนที่ถูกขอให้ให้คะแนนเสน่ห์ดึงดูดของตนเองก่อนดูภาพ ‘คู่เดท’ และจินตนาการว่าได้ไปดินเนอร์ด้วยกัน จากนั้น กลุ่มตัวอย่างต้องตัดสินใจว่าใครจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนั้น ซึ่งมีทั้งจ่ายเองทั้งหมด ให้คู่เดทเป็นคนจ่าย หรือจ่ายคนละครึ่ง

คำตอบที่ได้รับแสดงให้เห็นว่าหญิงสาวหน้าตาดีมีแนวโน้มน้อยที่จะอยากแชร์ค่าอาหาร เช่นเดียวกับหนุ่มหล่อที่ลังเลที่จะควักเงิน อย่างไรก็ตาม ผู้ชายอาจเปลี่ยนใจหากต้องการให้สาวประทับใจ

งานศึกษาที่เผยแพร่อยู่ในวารสารเอฟโวลูชันนารี ไซโคโลจีระบุว่า ชายหนุ่มจะเต็มใจจ่ายมากขึ้นถ้าสาวที่ควงมาด้วยสวย บ่งชี้ว่าอยากมีเดทครั้งต่อไป

เช่นเดียวกัน ผู้หญิงที่คาดหวังให้หนุ่มเป็นคนจ่าย หมายความว่าเธอยังอยากพบเขาอีก

ดังนั้น ถ้าสาวยืนยันขอเป็นคนจ่ายหรือช่วยออกสตางค์ อาจเป็นสัญญาณว่าเดทแรกไม่น่าประทับใจ หรือเขาอาจหล่อไม่พอกระชากใจเธอ

โดยรวมแล้วผู้หญิง 45% คาดหวังให้คู่เดทจ่ายเงินทั้งหมด เทียบกับผู้ชาย 30% ที่คาดหวังแบบเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของดีเบรตส์ สำนักพิมพ์เก่าแก่ของอังกฤษนั้น สถานการณ์ที่น่าพึงพอใจที่สุดคือ การร่วมกันรับผิดชอบซึ่งอาจขัดกับมารยาทในสังคม

เดวิด มิลเลอร์ ผู้อำนวยการดีเบรตส์ สำทับว่ามีกฎข้อหนึ่งว่าไว้ว่า คนที่เรียกร้องต้องการความพึงพอใจต้องเป็นคนจ่ายสำหรับราคาความพึงพอใจนั้น เท่ากับว่าคนที่ออกปากชวนควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในเดทแรก

สำหรับในเดทต่อไปนั้น มิลเลอร์ชี้ว่า เสน่ห์ดึงดูดของคู่เดทหรือธรรมเนียมปฏิบัติไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป เป็นต้นว่าทั้งคู่อาจตระหนักว่าไม่ยุติธรรมที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะเป็นคนควักกระเป๋าทุกครั้ง หรือในโอกาสพิเศษ เช่น วันเกิด ที่ฝ่ายหนึ่งอยากเอาอกเอาใจอีกฝ่าย หรือผู้หญิงบางคนอาจต่อว่าต่อขานถ้าผู้ชายยืนกรานจะจ่ายร่ำไป

ขอบคุณข้อมูล จิตวิทยาความรัก จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

จิตวิทยาความรัก : วิธีบอกรัก

จิตวิทยาความรัก

วิธีบอกรัก

บทความจาก กรมสุขภาพจิต

การบอกรัก เป็นการเปิดเผยความรู้สึกภายในของคุณต่อคนที่คุณรัก การบอกรักไม่ใช่เรื่อง ผิดหรือบาป หญิงและชายสามารถเปิดเผยความรู้สึกของตนเองได้ แต่ควรตระหนักว่าการตอบรับ หรือ ปฏิเสธเป็นสิทธิของเขา คุณจึงควรเตรียมตัว เตรียมใจรับความผิดหวังไว้ด้วย


สำหรับวิธีบอกรัก มีได้หลายวิธี ดังนี้

แสดงความสนิทสนมและให้ความช่วยเหลือเขาในเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือ

ใช้สายตาและท่าทาง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้คุณมองคนที่คุณรักด้วยสายตาที่ หยาดเยิ้ม หรือแสดงท่าทางที่ดูแล้วเหมือนให้ท่าอ่อยเหยื่อฝ่ายตรงข้าม แต่ให้แสดงออกอย่างเหมาะสม และ พอดี เช่น มองด้วยสายตาอ่อนโยน ใช้กิริยาวาจาที่สุภาพแสดงถึงความห่วงใยและเอื้ออาทร เป็นต้น

การให้สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นของมีค่าราคาแพง แต่ให้เพื่อเป็น ที่ ระลึก เป็นการสื่อถึงความรู้สึกที่ดีแก่เขา

พูดถึงความดีของเขา และบอกเขาว่าเราชื่นชมความดีของเขา เวลาเราอยู่ใกล้เขา เรารู้สึก สบายใจ และมีความสุข


สิ่งที่ควรระลึกไว้เสมอในการบอกรักคือ ควรให้เหมาะสมกับเวลา สถานที่และโอกาส กรอบประเพณี วัฒนธรรมของไทยที่ไม่นิยมการสัมผัส หรือแตะต้องตัว เพราะจะเป็นการนำไปสู่ความต้อง การ ทางเพศได้ กลายเป็นความใคร่ไม่ใช่ความรัก


หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โทรมาคุยกับเราได้ที่หมายเลข 02-526-3342 ตลอด 24 ชั่วโมง


โดย: คุณสินีนาฏ จิตต์ภักดี - พยาบาลวิชาชีพ 8 ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาการเด็กภาคเหนือ จ.เชียงใหม่

ขอบคุณข้อมูล สุขภาพจิต และ จิตวิทยาความรัก จาก กรมสุขภา

จิตวิทยาความรัก : เมื่อรักเขาข้างเดียว

จิตวิทยาความรัก
เมื่อรักเขาข้างเดียว
บทความจาก กรมสุขภาพจิต

ปัญหาความรักหนักอก อันเกิดจากความรักที่ไม่สมหวัง มันช่างรบกวนจิตใจของคุณทำให้ คุณต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิในการเรียน อยากอยู่คนเดียว บางครั้งอยากทำลายคนที่ทำให้เรา ผิดหวัง หรืออยากทำร้ายตัวเอง อย่าทำให้ความคิดเหล่านี้มารบกวนจิตใจของคุณเลย ลองมาหาวิธีแก้ไข กันดีกว่าดังนี้

ถ้าคุณรักเขาแต่เขาไม่รักคุณ แน่นอนคุณต้องรู้สึกเสียใจที่ทุ่มเทความรักให้เขาแต่เขากลับ ทำให้คุณต้องผิดหวัง บางครั้งทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองคงไม่ดี ไม่มีค่าอะไร

เมื่อความรู้สึกนี้เข้ามาขอให้คุณ ตั้งสติให้ดี สร้างความเข้มแข็งให้ตัวเอง บอกตัวเองว่าคุณยังมีค่าสำหรับคนอื่นๆ เสมอ เช่น พ่อแม่ พี่น้อง ยังมีเพื่อนที่เข้าใจคุณอีกมากมาย อนาคตของคุณก็ยังก้าวไปอีกไกล และคุณอาจพบคนที่รักคุณอย่างจริงใจ และอาจดีกว่าคนที่ทำให้คุณผิดหวังเสียด้วยซ้ำไป

สำหรับปัญหารักข้ามรุ่นส่วนใหญ่แล้ว จะเกิดจากความรู้สึกหลงใหลชั่วคราวเสียมากกว่า เช่น คุณอาจไปแอบหลงรักรุ่นพี่ ครู-อาจารย์ เพราะเขาเป็นคนน่าประทับใจ

การแอบรักคงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าไม่ทำอะไรเลยเถิดจนเกินไป เพราะถ้าคุณไม่ระวังตัว คุณอาจไปเจอคนไม่ดีที่ฉวยโอกาสจากคุณ

พยายาม ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด สำหรับเรื่องความรักค่อยๆ พิจารณาเลือกคนที่ เหมาะสมกับคุณไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน เพราะคุณยังคงมีโอกาสและเวลาอีกมากมายที่จะเลือกคนดี ๆ

ถ้าคุณคิดว่ายังทำใจไม่ได้ ต้องการคำแนะนำมากกว่านี้ขอให้ติดต่อได้ที่หมายเลข 02-526-3342 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

โดย: คุณอัมพร หัสศิริ - นักจิตวิทยา 8 ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาการเด็กภาคเหนือ

ขอบคุณข้อมูล สุขภาพจิต และ จิตวิทยาความรัก จาก กรมสุขภาพจิต

บทบาทการประเมินทางจิตวิทยา

ความเป็นนักจิตวิทยาคลินิกไทย

พฤติกรรมมนุษย์ - ปัจจัยพื้นฐานด้านจิตวิทยา

ปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งมีปัจจัยย่อยอยู่หลายปัจจัย ปัจจัยทางจิตวิทยา จะทำหน้าที่ เป็นสื่อกลางในการรับรู้และตีความสิ่งเร้าก่อนที่ร่างกายจะแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ปัจจัยทางจิตวิทยาที่สำคัญ ประกอบด้วย แรงจูงใจและ การเรียนรู้
1. แรงจูงใจ
1.1 ความหมาย ประเภทและปัจจัย
แรงผลักดันจากภายในที่ทำให้ให้มนุษย์เกิดพฤติกรรมตอบสนองอย่างมีทิศทางและ เป้าหมาย เรียกว่า แรงจูงใจ คนที่มีแรงจูงใจ ที่จะทำ พฤติกรรมหนึ่งสูงกว่า จะใช้ความพยายามนำ การกระทำไปสู่เป้าหมายสูงกว่า คนที่มีแรงจูงใจต่ำกว่า แรงจูงใจของมนุษย์จำแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ประเภทแรก ได้แก่ แรงจูงใจทางกาย ที่ทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมสนองความต้องการ ที่จำเป็นทางกาย เช่น หาน้ำ และอาหารมา ดื่มกิน เมื่อกระหายและหิว ประเภทที่สอง ได้แก่ แรงจูงใจทางจิตซึ่งเกี่ยวข้องกับ ความต้องการทางสังคม เช่น ความต้องการความสำเร็จ เงิน คำชมอำนาจ กลุ่มและพวก เป็นต้น ปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงจูงใจในมนุษย์ ประกอบด้วย
1.1.1 ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ความต้องการจำเป็นของชีวิต คือ อาหาร น้ำ ความปลอดภัย
1.1.2 ปัจจัยทางอารมณ์ เช่น ความตื่นเต้น วิตกกังวล กลัว โกรธ รัก เกลียด และความรู้สึกอื่นใด ที่ให้คนมีพฤติกรรม ตั้งแต่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จนถึง การฆ่าผู้อื่น
1.1.3 ปัจจัยทางความคิด เป็นปัจจัยที่กำหนดให้บุคคลกระทำในเรื่องที่คิดว่า เหมาะสมและเป็นไปได้ และตามความคาดหวังว่า ผู้อื่นจะสนองตอบ การกระทำของตนอย่างไร
1.1.4 ปัจจัยทางสังคม เป็นปัจจัยที่กำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ เพื่อให้สอดคล้องกับสังคม และเป็นที่ยอมรับ ของบุคคลในสังคมนั้นด้วย การกระทำของผู้อื่นและผลกรรมที่ได้รับจึงทำให้เกิดการเรียนรู้พฤติกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นไปกฏระเบียบ และตัวแบบทางสังคม
1.2 ทฤษฎีแรงจูงใจ
นักจิตวิทยาได้พัฒนาทฤษฎีเพื่ออธิบายถึงแรงจูงใจของมนุษย์ เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ปรากฏ แต่ละทฤษฎีมีจุดที่เป็น ความแนวคิด เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่แตกต่างกันไป ที่สำคัญได้แก่ ทฤษฎีสัญชาติญาณ ทฤษฎีแรงขับ ทฤษฎีการตื่นตัว และทฤษฎีสิ่งล่อใจ
1.2.1 ทฤษฎีสัญชาติญาน (Instinct Theory)
สัญชาติญาน เป็น พฤติกรรมที่มนุษย์ แสดงออกโดยอัตโนมัติ ตามธรรมชาติของชีวิต เป็นความพร้อม ที่จะทำ พฤติกรรม ได้ในทันที เมื่อปรากฎ สิ่งเร้า เฉพาะต่อพฤติกรรมนั้น สัญชาติญาณ จึงมีความสำคัญต่อ ความอยู่รอด ของชีวิต ในสัตว์บางชนิด เช่นปลากัดตัวผู้จะแสดงการก้าวร้าว พร้อมต่อสู้ ทันทีที่เห็นตัวผู้ตัวอื่น สำหรับ ใน มนุษย์ สัญชาติญาณ อาจจะไม่แสดงออกมา อย่างชัดเจนในสัตว์ชั้นต่ำ แต่บุคคลสามารถรู้สึกได้ เช่น ความใกล้ชิด ระหว่าง ชายหญิง ทำให้เกิด ความต้องการทางเพศได้ พฤติกรรมนี้ไม่ต้องเรียนรู้ เป็นรูปแบบพฤติกรรมที่ตายตัว แน่นอน ซึ่งกำหนดมา ตามธรรมชาติจาก ปัจจัยทางชีวภาพ ในปัจจุบันการศึกษา สัญชาตญาน เป็นเพียงต้องการ ศึกษา ลักษณะ การตอบสนอง ขั้นพื้นฐาน เพื่อความเข้าใจ พฤติกรรม เบื้องต้นเท่านั้น
1.2.2 ทฤษฎีแรงขับ (Drive Reduction Theory)
แรงขับ (Drive) เป็นกลไกภายในที่รักษาระบบทางสรีระ ให้คงสภาพสมดุลในเรื่องต่าง ๆ ไว้ เพื่อทำให้ ร่างกายเป็น ปกติ หรืออยู่ในสภาพ โฮมิโอสแตซิส (Homeostasis) โดยการปรับระบบให้เข้ากับ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทฤษฎีแรงขับอธิบายว่า เมื่อเสียสมดุลในระบบ โฮมิโอสแตซิส จะทำให้เกิดความต้องการ (Need) ขึ้น เป็นความต้องการทางชีวภาพเพื่อรักษาความคงอยู่ของชีวิต และความต้องการนี้ จะทำให้เกิด แรงขับ อีกต่อหนึ่ง
แรงขับเป็น สภาวะตื่นตัว ที่พร้อมจะทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้กลับคืนสู่สภาพสมดุลเพื่อลดแรงขับนั้น (Drive Reduction) ตัวอย่างเช่น การขาดน้ำในร่างกาย จะทำให้เสียสมดุลทางเคมี ในเลือด เกิดความต้องการเพิ่มน้ำ ในร่างกาย แรงขับ ที่เกิดจากต้องการน้ำคือ ความกระหาย จูงใจให้เราดื่มน้ำหรือหาน้ำมาดื่ม หลังจากดื่มสม ความต้องการแล้ว แรงขับก็ลดลง กล่าวได้ว่า แรงขับผลักดันให้คนเรามีพฤติกรรม ตอบสนอง ความต้องการ เพื่อทำให้ แรงขับ ลดลงสำหรับที่ร่างกาย จะได้กลับสู่ สภาพสมดุล อีกครั้งหนึ่ง
แรงขับ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แรงขับปฐมภูมิ (Primary Drive) และ แรงขับทุติยภูมิ (Secondary Drive) แรงขับที่เกิดจาก ความต้องการพื้นฐานทางชีวภาพ เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ ความต้องการและแรงขับประเภทนี้ เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องเรียนรู้ เป็นแรงขับ ประเภทปฐมภูมิ ส่วนแรงขับทุติยภูมิ เป็นแรงขับที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ แรงขับประเภทนี้ เมื่อเกิดแล้วจะจูงใจคนให้กระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เช่น คนเรียนรู้ว่า เงินมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการสนองความต้องการอาหาร ที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ อีกมาก การไม่มีเงิน จึงเป็นแรงขับทุติยภูมิสามารถจูงใจให้คนกระทำพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ได้เงินมาตั้งแต่การทำงานหนัก จนถึงการทำ สิ่งที่ผิดกฎหมาย เช่น การปล้นธนาคาร
1.2.3 ทฤษฎีการตื่นตัว (Arousal Theory)
มนุษย์ถูกจูงใจให้กระทำพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อรักษาระดับการตื่นตัวที่พอเหมาะ (Optimal level of arousal) เมื่อมีระดับการตื่นตัวต่ำลง ก็จะถูกกระตุ้นให้เพิ่มขึ้น และเมื่อการตื่นตัวมีระดับสูงเกินไปก็จะถูกดึงให้ลดลง เช่น เมื่อรู้สึกเบื่อคน จะแสวงหาการกระทำที่ตื่นเต้น เมื่อตื่นเต้นเร้าใจมานานระยะหนึ่ง จะต้องการพักผ่อน เป็นต้น คนแต่ละคนจะมีระดับการตื่นตัวที่พอเหมาะแตกต่างกัน
การตื่นตัวคือ ระดับการทำงานที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ระบบของร่างกาย สามารถวัดระดับการทำงานนี้ได้จากคลื่นสมอง การเต้นของหัวใจ การเกร็งของกล้ามเนื้อ หรือจากสภาวะของอวัยวะต่าง ๆ ขณะที่หลับสนิทระดับการตื่นตัวจะต่ำที่สุด และสูงสุดเมื่อตกใจหรือตื่นเต้นสุดขีด การตื่นตัวเพิ่มขึ้นได้จากความหิว กระหายน้ำหรือแรงขับทางชีวภาพอื่น ๆ หรือจากสิ่งเร้าที่เข้มข้น รุนแรง เหตุการณ์ไม่คาดหวังไว้ก่อน หรือจากสารกระตุ้นในกาแฟ และยาบางชนิด
การทำงานจะที่มีประสิทธิภาพสูง เมื่อมีระดับการตื่นตัวปานกลาง ระดับการตื่นตัวที่สูงเกินไปจะรบกวนความใส่ใจ การรับรู้ การคิด สมาธิ กล้ามเนื้อทำงานประสานกันได้ยาก เมื่อระดับการตื่นตัวต่ำ คนเราทำงานที่ยากและมีรายละเอียดได้ดี แต่ถ้าเป็นงานที่ง่ายจะทำได้ดีเมื่อระดับ การตื่นตัวสูง คนที่มีระดับการตื่นตัวสูงเป็นนิสัย มักสูบบุหรี่ ดื่มสุรา กินอาหารรสจัด ฟังดนตรีเสียงดัง มีความถี่เรื่องเพศสัมพันธ์ ชอบการเสี่ยงและลองเรื่องใหม่ ๆ ส่วนคนที่มีระดับการตื่นตัวต่ำเป็นปกติ มักมีพฤติกรรมที่ไม่เร้าใจมากนัก ไม่ชอบการเสี่ยง ความแตกต่างในระดับพอเหมาะของการตื่นตัว เกิดจากพื้นฐานทางชีวภาพเป็นเรื่องหลัก และทำให้มีบุคลิกภาพแตกต่างกันไปด้วย
1.2.4 ทฤษฎีสิ่งจูงใจ (Incentive Theory)
ปัจจัยภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมที่จูงใจจะดึงดูดให้คนมุ่งไปหาสิ่งนั้น มนุษย์กระทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อแสวงหาสิ่งที่พอใจ (Positive Incentives) เช่น รางวัล คำยกย่อง สิทธิพิเศษ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พอใจ (Negative Incentives) เช่น ถูกลงโทษ ถูกตำหนิ ทำให้เจ็บกาย การที่คนมี พฤติกรรมแตกต่างกัน หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับความแตกต่างในคุณค่า (Values) ของสิ่งจูงใจ ถ้าคิดว่าการกระทำอย่างใด อย่างหนึ่ง จะได้รับผลคุ้มค่าก็จะมีแรงจูงใจให้บุคคลกระทำอย่างนั้น


Read more: http://www.novabizz.com/NovaAce/Behavior/Factor_Psyco.htm#ixzz26C45Ea8I

ความรู้สึกเกี่ยวกับสีในเชิงจิตวิทยา

สีแดง ให้ความรู้สึกร้อน รุนแรง กระตุ้น ท้าทาย เคลื่อนไหว ตื่นเต้น เร้าใจ มีพลัง ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ความรัก ความสำคัญ อันตราย
สีส้ม ให้ความรู้สึก ร้อน ความอบอุ่น ความสดใส มีชีวิตชีวา วัยรุ่น ความคึกคะนอง การปลดปล่อย ความเปรี้ยว การระวัง
สีเหลือง ให้ความรู้สึกแจ่มใส ความสดใส ความร่าเริง ความเบิกบานสดชื่น ชีวิตใหม่ ความสด ใหม่ ความสุกสว่าง การแผ่กระจาย อำนาจบารมี
สีเขียว ให้ความรู้สึก สงบ เงียบ ร่มรื่น ร่มเย็น การพักผ่อน การผ่อนคลาย ธรรมชาติ ความปลอดภัย ปกติ ความสุข ความสุขุม เยือกเย็น
สีน้ำเงิน ให้ความรู้สึกสงบ สุขุม สุภาพ หนักแน่น เคร่งขรึม เอาการเอางาน ละเอียด รอบคอบ สง่างาม มีศักดิ์ศรี สูงศักดิ์ เป็นระเบียบถ่อมตน
สีม่วง ให้ความรู้สึก มีเสน่ห์ น่าติดตาม เร้นลับ ซ่อนเร้น มีอำนาจ มีพลังแฝงอยู่ ความรัก ความเศร้า ความผิดหวัง ความสงบ ความสูงศักดิ์
สีฟ้า ให้ความรู้สึก ปลอดโปร่งโล่ง กว้าง เบา โปร่งใส สะอาด ปลอดภัย ความสว่าง ลมหายใจ ความเป็นอิสระเสรีภาพ การช่วยเหลือ แบ่งปัน
สีขาว ให้ความรู้สึก บริสุทธิ์ สะอาด สดใส เบาบาง อ่อนโยน เปิดเผย การเกิด ความรัก ความหวัง ความจริง ความเมตตา ความศรัทธา ความดีงาม
สีดำ ให้ความรู้สึก มืด สกปรก ลึกลับ ความสิ้นหวัง จุดจบ ความตาย ความชั่ว ความลับ ทารุณ โหดร้าย ความเศร้า หนักแน่น เข้มเข็ง อดทน มีพลัง
สีชมพู ให้ความรู้สึก อบอุ่น อ่อนโยน นุ่มนวล อ่อนหวาน ความรัก เอาใจใส่ วัยรุ่น หนุ่มสาว ความน่ารัก ความสดใส
สีเทา ให้ความรู้สึก เศร้า อาลัย ท้อแท้ ความลึกลับ ความหดหู่ ความชรา ความสงบ ความเงียบ สุภาพ สุขุม ถ่อมตน
สีทอง ให้ความรู้สึก ความหรูหรา โอ่อ่า มีราคา สูงค่า สิ่งสำคัญ ความเจริญรุ่งเรือง ความสุข ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย การแผ่กระจาย


การใช้สีในเชิงสัญลักษณ์


สีแดง
มีความอบอุ่น ร้อนแรง เปรียบดังดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ยังแสดงถึง
ความมีชีวิตชีวา ความรัก ความปรารถนา เช่นดอกกุหลาบแดงวัน
วาเลนไทน์ ในทางจราจรสีแดงเป็นเครื่องหมายประเภทห้าม แสดง
ถึงสิ่งที่อันตราย เป็นสีที่ต้องระวัง เป็นสีของเลือด ในสมัยโรมัน
สีของราชวงศ์เป็นสีแดง แสดงความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์และอำนาจ






สีเขียว

แสดงถึงธรรมชาติสีเขียว ร่มเย็น มักใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับการ
อนุรักษ์ธรรมชาติ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม การเกษตร การเพาะปลูก
การเกิดใหม่ ฤดูใบไม้ผลิ การงอกงาม ในเครื่องหมายจราจร หมาย
ถึงความปลอดภัย ในขณะเดียวกัน อาจหมายถึงอันตราย ยาพิษ
เนื่องจากยาพิษ และสัตว์มีพิษ ก็มักจะมีสีเขียวเช่นกัน





สีเหลือง
แสดงถึงความสดใส ความเบิกบาน โดยเรามักจะใช้ดอกไม้สีเหลือง
ในการไปเยี่ยมผู้ป่วย และแสดงความรุ่งเรืองความมั่งคั่ง และฐานันดร
ศักดิ์ ในทางตะวันออกเป็นสีของกษัตริย์ จักรพรรดิ์ของจีนใช้ฉลอง
พระองค์สีเหลือง ในทางศาสนาแสดงความเจิดจ้า ปัญญา พุทธศาสนา
และยังหมายถึงการเจ็บป่วย โรคระบาด ความริษยา ทรยศ หลอกลวง




สีน้ำเงิน
แสดงถึงความเป็นสุภาพบุรุษ มีความสุขุม หนักแน่น และยังหมายถึง
ความสูงศักดิ์ ในธงชาติไทย สีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ในศาสนา
คริตส์เป็นสีประจำตัวแม่พระ โดยทั่วไป สีน้ำเงินหมายถึงโลก ซึ่งเราจะ
เรียกว่า โลกสีน้ำเงิน (Blue Planet) เนื่องจากเป็นดาวเคราะห์ที่มองเห็น
จากอวกาศโดยเห็นเป็นสีน้ำเงินสดใส เนื่องจากมีพื้นน้ำที่กว้างใหญ่



สีม่วง
แสดงถึงพลัง ความมีอำนาจ ในสมัยอียิปต์สีม่วงแดงเป็นสีของกษัติรย์
ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยโรมัน นอกจากนี้ สีม่วงแดงยังเป็นสีชุดของพระ
สังฆราช สีม่วงเป็นสีที่มีพลังหรือการมีพลังแอบแฝงอยู่ และเป็นสีแห่ง
ความผูกพัน องค์การลูกเสือโลกก็ใช้สีม่วง ส่วนสีม่วงอ่อนมักหมายถึง
ความเศร้า ความผิดหวังจากความรัก




สีฟ้า
แสดงถึงความสว่าง ความปลอดโปร่ง เปรียบเหมือนท้องฟ้า เป็นอิสระ
เสรี เป็นสีขององค์การสหประชาชาติ เป็นสีของความสะอาด ปลอดภัย
สีขององค์การอาหารและยา (อย.) แสดงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การ
ใช้พลังงานอย่างสะอาด แสดงถึงอิสรภาพ ที่สามารถโบยบินเป็นสีแห่ง
ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่ไม่มีขอบเขต



สีทอง
มักใช้แสดงถึง คุณค่า ราคา สิ่งของหายาก ความสำคัญ ความสูงส่ง
สูงศักดิ์ ความศรัทธาสูงสุด ในศาสนาพุทธ หรือ เป็นสีกายของพระ
พุทธรูป ในงานจิตรกรรมเป็นสีกายของพระพุทธเจ้า พระมหากษัติรย์
หรือเป็นส่วนประกอบของเครื่องทรง เจดีย์ต่าง ๆ มักเป็นสีทอง หรือ
ขาว และเป็นเครื่องประกอบยศศักดิ์ ของกษัตริย์และขุนนาง

สีขาว
แสดงถึงความสะอาด บริสุทธิ์ เหมือเด็กแรกเกิด แสดงถึงความว่างเปล่า
ปราศจากกิเลส ตัณหา เป็นสีอาภรณ์ของผู้ทรงศีล ความเชื่อถือ ความดีงาม
ความศรัทธา และหมายถึงการเกิดโดยที่แสงสีขาว เป็นที่กำเนิดของแสงสี
ต่าง ๆ เป็นความรักและความหวัง ความห่วงใยเอื้ออาทรและเสียสละของ
พ่อแม่ ความอ่อนโยน จริงใจ บางกรณีอาจหมายถึง ความอ่อนแอ ยอมแพ้




สีดำ
แสดงถึงความมืด ความลึกลับ สิ้นหวัง ความตายเป็นที่สิ้นสุดของทุกสิ่ง
โดยที่สีทุกสี เมื่ออยู่ในความมืด จะเห็นเป็นสีดำ นอกจากนี้ยังหมายถึง
ความชั่วร้าย ในคริสต์ศาสนาหมายถึง ซาตาน อาถรรพ์เวทมนต์ มนต์ดำ
ไสยศาสตร์ ความชิงชัง ความโหดร้าย ทำลายล้าง ความลุ่มหลงเมามัว
แต่ยังหมายถึงความอดทน กล้าหาญ เข้มแข็ง และเสียสละได้ด้วย




สีชมพู
แสดงถึงความอบอุ่น อ่อนโยน ความอ่อนหวาน นุ่มนวล ความน่ารัก
แสดงถึงความรักของมนุษย์โดยเฉพาะรุ่นหนุ่มสาว เป็นสีของความ
เอื้ออาทร ปลอบประโลม เอาใจใส่ดูแล ความปรารถนาดี และอาจ
หมายถึงความเป็นมิตร เป็นสีของวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้หญิง และนิยม
ใช้กับสิ่งของเครื่องใช้ของเด็กวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่

จิตวิทยาความรัก ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ ความรัก


ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรัก ที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่ง คือ ..
“ถ้ารักกันแล้ว...เราขาดกันไม่ได้"

ยกตัวอย่าง...กรณีที่เราจะพบเสมอ
ทันทีที่รู้ว่า คน(ที่เรา)รัก จากไปสู่ที่ชอบ..ที่ชอบ

คือ..ไปอยู่กับ "คน" ที่เขาชอบมากกว่า "เรา"
และที่ชอบของเขา เป็นที่ไม่ชอบของเรา

ไม่ว่าหญิงหรือชายจะเกิดอาการ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ..จะเป็นจะตาย ..
หลายราย ถึงกับสำเร็จความตายด้วยตนเอง คิดว่า เป็นการบูชาความรัก

ตัวอย่าง .. คนไข้สาวรายหนึ่ง แฟนหนุ่ม มีอันต้องจำพรากจากไป...อยู่กับสาวอื่นแทน เธอพรอดพร่ำ รำพัน ต่อหน้าจิตแพทย์

"หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา"
[เธอลืมไปว่า..ก่อนที่จะมีเขา... เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้]

"หนูรักเขามากค่ะ...คุณหมอคงเข้าใจใช่ไหมคะ ว่าหนูรักเขามากแค่ไหน" ถ้อยคำมากมาย พรั่งพรูจากปากของเธอ

"คุณเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะครับ.. คุณไม่ได้รักแฟนคุณหรอก" จิตแพทย์พูดบ้าง หลังจากฟังมานาน

"คุณหมอ หมายความว่ายังไง ...ก็หนูเพิ่งพูดไปแหม่บๆ ว่า ถ้าขาดเขาเสียแล้ว ชีวิตของหนูก็อยู่ไม่ได้” น้ำเสียงเธอ แสดงความไม่พอใจ

จิตแพทย์พยายามอธิบาย “สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมด..ไม่ได้เรียกว่า ความรัก หรอกครับ เขาเรียกว่า ภาวะกาฝาก ตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคน เพื่อความอยู่รอดของคุณ .. คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิในลำไส้ของเขา... มันทำให้ชีวิตคุณ ไม่มีทางเลือก และขาดอิสรภาพ มันกลายเป็น.. ภาวะจำเป็น..มากกว่า..ความรัก"

คนไข้สาวช็อค...ไปชั่วขณะ นึกว่าจะได้รับคำปลอบใจ ที่มีคุณภาพสูงกว่าที่เคยได้จากเพื่อนๆ

แต่หมอยังพูดต่อ ทั้งๆ ที่คนไข้กำลังนั่งนิ่งตะลึง ด้วยความงง .. เหมือนจงใจ "ซ้ำเติม" ...แต่นำปัญญา..สู่จิตอันขลาดเขลา

"ความรักที่แท้..ต้องมีอิสรภาพ... คนสองคนจะรักกันได้ ก็ต่อเมื่อ เขาทั้งสอง สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ตามลำพัง อย่างไม่เป็นทุกข์ แต่เขาทั้งสอง ก็เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่อความสุขที่มากขึ้น"

เธอใช้เวลาตั้งสติพักหนึ่ง...สีหน้าเริ่มสงบ ...คิ้วขมวดเริ่มผ่อนคลาย รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก ก่อนเปล่งวาจา ..

"คำพูดของคุณหมอ เปรียบเสมือนแสงตะวัน...ที่สาดส่อง ทะลุทำลาย กำแพงเมฆหมอก ของดิฉัน...



+++


จิตแพทย์ที่กล้าพูดเตือนสติ แทนการพูดปลอบใจท่านนี้ ....คือ Dr.Scott Peck ... ซึ่งได้เขียนบรรยายเหตุการณ์เรื่องนี้ ในหนังสือขายดีชื่อ …The Road Less Traveled

ซึ่งท่านได้ให้แนวคิดเรื่อง.. "ภาวะพึ่งพิง" (Dependency) ไว้ด้วยความหมายว่า ...

เป็นภาวะ ที่เราไม่สามารถดำเนินชีวิต...โดยปราศจาก การดูแลเอาใจใส่ จากบุคคลอื่น ปกติเราอาจต้องพึ่งพิง ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นในเวลาที่เราได้รับบาดเจ็บ หรือกำลังป่วย

แต่หากเรามีสุขภาพร่างกายที่ดีแล้ว ยังต้องพึ่งพิงผู้อื่นทางจิตใจ เพื่อช่วยให้เราเป็นสุข แสดงว่า... สุขภาพทางจิตของเรา กำลังย่ำแย่ เจ็บป่วย หรือบาดเจ็บ

เวลาที่ผ่านไป.. จะช่วยเยียวยาบาดแผล ให้สมานจนหายสนิท ...พร้อมภูมิต้านทานทางใจ ที่มากขึ้น


+++


คนที่มีสุขภาพจิตดี...จะให้ความรักแก่ตัวเองเป็น และดำเนินชีวิตได้ โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร แต่ อาจพึ่งพาอาศัยกันได้ เพราะคนเรา ไม่ได้เก่ง หรือทำเป็นหมดทุกอย่าง

แต่ ถ้าคุณถึงขั้น.. "ขาดเขาไม่ได้" จงอย่าเอาคำว่า "รักเขามากเหลือเกิน" มาลวงหลอกใจตัวเอง

ยิ่งต้องถึง..คิดฆ่าตัวตาย... ยิ่งแสดงว่า ..."แม้แต่ตัวเอง ...ก็ยังไม่รัก"

หลายคนคิดว่า... ถ้าฉันฆ่าตัวตายจะทำให้เขารู้สึกผิดกับการกระทำของเขาที่ทิ้งเราไป...
คิดเอาว่า.."เขาจะต้องเสียใจ..ไปตลอดชีวิต" คิดอย่างนี้...ส่วนใหญ่ มักตายฟรี!

ปัจจุบัน..ผู้หญิงไทยมีการศึกษา มีการงานและความสามารถไม่แพ้เพศชาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพศชายเป็นผู้นำของชีวิตเหมือนหญิงไทยสมัยโบราณ ผู้หญิงทั้งหลายสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ อย่างมีความสุข และภาคภูมิใจ ในเกียรติของผู้หญิง

และหากได้พบชายใด ที่เราเห็นว่า ทำให้ชีวิตเรา มีความสุขมากขึ้น และดีขึ้น กว่าการอยู่คนเดียว ... คุณก็อยู่ในฐานะ ที่มีโอกาสเลือก...

ไม่ใช่ จำเป็นต้องเลือก... หรือ..จำใจเลือกเขา...มาเป็นคู่ชีวิต



+++



ขอกล่าวทวนประโยคเดิม...ที่จิตแพทย์ Dr.Scott Peck พูดกับคนไข้...



"Love is the free exercise of choice.
Two people love each other o­nly
when they are quite capable of living
without each other
but choose to live with each other."

จิตวิทยาวัยรุ่น

ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์ (Skinner)

ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำหรือแบบปฏิบัติการ ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน คือ Operant Conditioning Theory หรือ Instrumental conditioning theory หรือ Type - R Conditioning Theory สกินเนอร์ได้เสนอแนวความคิดโดยจำแนกทฤษฎีทางพฤติกรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ Type S (Response Behavior) ซึ่งมีสิ่งเร้า

(Stimulus) เป็นตัวกำหนดหรือดึงออกมา เช่น น้ำลายไหลเนื่องจากใส่อาหารเข้าไปในปาก สะดุ้งเพราะถูกเคาะที่สะบ้าข้างเข่า หรือการหรี่ตาเมื่อถูกแสงไฟ พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการตอบสนองแบบอัตโนมัติ

2. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ Type R (Operant Behavior) พฤติกรรมหรือ

การตอบสนองขึ้นอยู่กับการเสริมแรง (Reinforcement) การตอบสนองแบบนี้จะต่างกับ แบบแรก เพราะอินทรีย์เป็นตัวกำหนดหรือเป็นผู้สั่งให้กระทำต่อสิ่งเร้า ไม่ใช้ให้สิ่งเร้าเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของอินทรีย์ เช่น การถางหญ้า การเขียนหนังสือ การรีดผ้า พฤติกรรมต่าง ๆ ของคน ในชีวิตประจำวันเป็นพฤติกรรมแบบ Operant Conditioning)หลักการเรียนรู้ที่สำคัญ หลักการเรียนรู้ของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ เน้นการกระทำของผู้ที่เรียนรู้มากกว่าสิ่งเร้าที่กำหนดให้ กล่าวคือ เมื่อต้องการให้อินทรีย์เกิดการเรียนรู้จากสิ่งเร้าใดสิ่งเร้าหนึ่ง เราจะให้ผู้เรียนรู้เลือกแสดงพฤติกรรมเองโดยไม่บังคับหรือบอกแนวทางในการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้แล้ว จึง "เสริมแรง" พฤติกรรมนั้นทันที เพื่อให้ผู้เรียนรู้ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกนั้นเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทำนั้น พฤติกรรมการตอบสนองจะขึ้นอยู่กับการเสริมแรง (Reinforcement) ตัวเสริมแรงแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1. ตัวเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) หมายถึง สิ่งเร้าใด ๆ ซึ่งเมื่อ

นำมาใช้แล้วทำให้อัตราการตอบสนองเพิ่มมากขึ้น เช่น คำชมเชย รางวัล อาหาร

2. ตัวเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) หมายถึง สิ่งเร้าใด ๆ ซึ่งเมื่อ

นำมาใช้แล้วทำให้การตอบสนองเพิ่มขึ้นในทางลบ เป็นตัวเสริมแรงทางลบ เช่น เสียงดัง อากาศร้อน คำตำหนิ กลิ่น การทำโทษ เป็นการนำตัวเสริมแรงลบเข้ามา เพราะการทำโทษบางอย่างหากนำไปใช้จะมีผลให้อัตราการตอบสนองเปลี่ยนไปในลักษณะที่เข้มขึ้น

การนำทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์ไปใช้ในการจัดการศึกษาปฐมวัย

1. การใช้เสริมแรง (Reinforcement) ทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรม ครูควรให้การ

เสริมแรง โดยการชมเชยหรือให้แรงจูงใจ โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การให้รางวัล ทั้งนี้เพราะเด็กในวัยนี้ต้องการให้ผู้อื่นสนใจตนหรือเห็นว่าตนเองสำคัญกว่าคนอื่น การให้แรงจูงใจจะทำให้เด็กเกิดความสนใจ พอใจที่จะเรียน

2. การปลูกฝังพฤติกรรมบางอย่างและการลดพฤติกรรมบางอย่าง (Shaping Behavior)

หลักการสำคัญของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์ก็คือการควบคุมการตอบสนองด้วยวิธีการเสริมแรง กล่าวคือ เราจะให้การเสริมแรงเฉพาะในเรื่องที่ต้องการเพื่อให้เกิดเป็นนิสัยติดตัว ดังนั้นถ้าเราต้องการให้เด็กมีพฤติกรรมใหม่ในเรื่องใด ก็ควรให้การเสริมแรงพฤติกรรมนั้น เพื่อให้เด็กทำต่อไปจนเป็นนิสัย แต่ถ้าต้องการให้พฤติกรรมใดหายไปก็ควรลดการเสริมแรงพฤติกรรมนั้น ก็จะทำให้พฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนานั้นหายไป การปลูกฝังพฤติกรรมใหม่ให้แก่เด็กโดยการใช้การเสริมแรงเป็นสิ่งควบคุมพฤติกรรม ครูควรมีการวางแผนให้เหมาะสม3. บทเรียนแบบโปรแกรม (Programmed Maching) และเครื่องช่วยสอน (Teaching Learning) สกินเนอร์ได้เสนอการสอนแบบโปรแกรม ซึ่งจัดแบ่งเนื้อหาวิชาออกเป็นส่วนย่อย ๆ เป็นขั้น ๆ และจัดลำดับให้เป็นเหตุเป็นผลเพื่อให้เรียนได้ง่าย และเมื่อสำเร็จแต่ละขั้นจะได้รับแรงเสริม หรือให้รางวัลทันที ทั้งบทเรียนสำเร็จรูปและเครื่องช่วยสอนต่างเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีคำตอบที่ถูกต้องไว้ให้ ซึ่งบทเรียนดังกล่าวควรนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอนจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้มากยิ่งขึ้นทฤษฎีพัฒนาการของอีริคสันอีริคสัน (Erikson) ได้เน้นความสำคัญที่วัยของเด็ก ขั้นตอนของการพัฒนาการและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวเด็กว่า ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เขาพอใจ ประสบความสำเร็จ เขาจะมองโลกในแง่ดี มีความเชื่อมั่นและไว้วางใจผู้อื่น แต่ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ไม่พอใจ จะมองโลกในแง่ร้าย ขาดความเชื่อมั่นในตนเองและไม่วางใจผู้อื่นอีริคสัน ยังได้ย้ำว่า ถ้าหากเด็กไม่พัฒนาและผ่านขั้นต้นแล้ว เด็กก็จะไม่สามารถพัฒนาในขั้นต่อ ๆ ไปได้การนำมาใช้ในการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษานั้น การจัดกิจกรรมในขั้นก่อนประถมศึกษา เน้นการที่เด็กได้ประสบความสำเร็จและพึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมของห้องเรียน ต่อเพื่อนฝูงและต่อครู ทั้งนี้เพื่อให้เด็กมองสังคมใหม่ สังคมโรงเรียนในด้านดี มีความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อผู้อื่น และถ้าหากว่าเด็กพอใจและมองโรงเรียนในแง่ดีแล้ว เด็กก็อยากมาโรงเรียน ก็จะได้รับการพัฒนาให้เจริญเติบโตขึ้น การช่วยเหลือตนเอง เช่น การไปห้องน้ำ การแต่งกาย การเก็บของเล่นเข้าที่นั้น ในระยะเริ่มต้น ครูจะดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด และใช้การชมเชย การชักชวนให้ทำกิจกรรมร่วมกับครู ก็จะเป็นการไม่บังคับ เด็กไม่เกิดการต่อต้านและเกิดความพอใจเป็นรางวัลในการทำกิจกรรมช่วยเหลือ การหัวเราะเยาะในสิ่งที่เด็กทำ หรือการจัดแข่งขันผลงานที่อาจจะก่อให้เกิดการละอาย ก็ไม่ควรใช้ เพราะจะทำให้เด็กไม่กล้าแสดงออกอีกต่อไปกิจกรรมในระดับก่อนประถมศึกษา เน้นผ่านการเล่น ซึ่งเป็นการสนุกสนาน สื่ออุปกรณ์ที่ใช้ ก็เรียกร้องและเชิญชวนต่อการเข้าร่วมการใช้จินตนาการ บทบาทสมมติ ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อพัฒนาของเด็กวัยนี้ ก็มีการจัดให้อยู่ตลอดเวลา

ทฤษฎีการเรียนรู้

ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา มีสำนักคิดทางด้านทฤษฎีการเรียนรู้(learning theory) ที่มีบทบาทโดดเด่น 3 สำนักด้วยกัน คือ สำนักพฤติกรรมนิยม(behaviorism) สำนักปัญญานิยม (cognitivism) และสำนักสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยปัญญา (constructivism) (Baruque & Melo, 2004, p. 346) อย่างไรก็ตาม ยังมีแนวคิดอีกแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (social learning theory) ของ Banduraซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญของสำนักพฤติกรรมนิยมสมัยใหม่ (modern behaviorism)ซึ่งมีรายละเอียดของแนวคิดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (ภิภพ ชวังเงิน, 2547, หน้า 400)

สำนักพฤติกรรมนิยม (behaviorism)

จุดเน้นของสำนักพฤติกรรมนิยม คือ สภาพแวดล้อมภายนอกเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคล (Baruque & Melo, 2004, p. 346) ซึ่งหมายความว่า พฤติกรรมของคนเราจะเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมหรือสิ่งเร้าที่ถูกสร้างขึ้น หรือที่เป็นอยู่โดยธรรมชาติ (ไพบูลย์ เทวรักษ์, 2540, หน้า 25) ประกอบด้วยทฤษฎีสำคัญ ๆ เช่น

1. แนวคิดของ Watson ระหว่างปี ค.ศ. 1878-1958 เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดพฤติกรรมนิยม โดยหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงจิตใจของคน Watson เสนอว่า พฤติกรรมของคนเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและสิ่งเร้าที่ถูกสร้างขึ้นและที่มีอยู่ตามธรรมชาติพฤติกรรมจะเปลี่ยนแปลงไปตามปฏิกริยาภายในของร่างกาย เช่น ระบบประสาทและอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (ไพบูลย์ เทวรักษ์, 2540, หน้า 25) แนวคิดของ Watsonทำให้เชื่อว่า พฤติกรรม บุคลิกภาพ และการแสดงออกซึ่งอารมณ์ของคนเราต่างก็เป็นพฤติกรรมที่ถูกเรียนรู้ทั้งนั้น (Bolles, 1975, p. 54)

2. ทฤษฎีการลองผิดลองถูก (trial and error learning theory) ของ Thorndikeระหว่างปี ค.ศ. 1874-1949 นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เป็นบุคคลแรกที่ริเริ่มทำการทดลองในสัตว์เกี่ยวกับการเรียนรู้ โดยศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้ของแมว ด้วยการจัดทำกรงทดลองเพื่อขังแมว ซึ่งกรงดังกล่าวจะมีประตูเปิดและปิด โดยใช้ห่วงผูกติดกับเชือกที่เชื่อมต่อไปยังกลอนประตู และมีการวางอาหารไว้ที่ด้านนอก หากแมวตะปบที่ห่วงจะทำให้ประตูเปิดและสามารถออกไปกินอาหารที่อยู่ด้านนอกได้ ในระยะแรก ๆ แมวมีพฤติกรรมที่ค่อนข้างสะเปะสะปะในการการหาทางออกจากกรง แต่เมื่อแมวดึงที่ห่วงโดยบังเอิญ จึงทำให้สามารถออกจากกรงได้ และเมื่อทำการทดลองซ้ำหลาย ๆ ครั้ง แมวก็แสดงพฤติกรรมที่ฉลาดในลักษณะที่เรียกได้ว่า เป็นการเรียนรู้เพื่อหาทางออกจากกรง อันเป็นผลมาจากประสบการณ์นั่นเอง จากการทดลองอย่างต่อเนื่องทำให้ Thorndike ค้นพบกฎการเรียนรู้ที่สำคัญ 3 ประการ คือ กฎผลที่ได้รับ (law of effect) ซึ่งอธิบายว่า พฤติกรรมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลได้รับผลตอบแทนในสิ่งที่ตนปรารถนา กฎการฝึกหัด (law of exercise)อธิบายว่า พฤติกรรมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทำซ้ำ และเมื่อมีการปฏิบัติซ้ำมากขึ้นก็จะเกิดความชำนาญ และกฎความพร้อม (law of readiness) อธิบายว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลมีความพร้อมที่จะกระทำ (Bolles, 1975, pp. 3-16) นอกจากนั้น ตามแนวคิดนี้เห็นว่า การให้รางวัลเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ (ภิภพ ชวังเงิน, 2547, หน้า 399)

3. ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (classical conditioning theory) ของ Pavlov ระหว่างปี ค.ศ. 1849-1936 ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของรัสเซีย ผู้ริเริ่มศึกษาทดลองการวางเงื่อนไขให้สุนัขหลั่งน้ำลายเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง (ไพบูลย์ เทวรักษ์, 2540, หน้า 13) อย่างไรก็ตาม ความสนใจเริ่มแรกของ Pavlov นั้นไม่ได้ต้องการสร้างทฤษฎีการเรียนรู้ แต่ต้องการพัฒนาเทคนิคในการศึกษาสมอง (Bolles,1975, p. 38) แต่ผลการศึกษาของเขาได้ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการวางเงื่อนไขที่ก่อให้พฤติกรรมเกิดการเรียนรู้ต่าง ๆ มากมาย (ไพบูลย์ เทวรักษ์, 2540, หน้า 20)

4. ทฤษฎีการวางเงื่อนไขปฏิบัติการ (operant condition learning) ของ Skinnerระหว่างปี ค.ศ. 1904-1990 ซึ่งมีแนวคิดสำคัญ คือ พฤติกรรมเป็นสมการของผลลัพธ์ของการแสดงพฤติกรรมนั้น (Robbins, 2003, p. 45) ผลจากการแสดงพฤติกรรม เป็นสิ่งควบคุมโอกาสในการเกิดพฤติกรรมนั้นขึ้นมาอีก ถ้าการแสดงพฤติกรรมนั้นได้ผลจากการกระทำเป็นที่พอใจ โอกาสที่จะเกิดพฤติกรรมแบบเดิมจะมีสูงมากเมื่อสิ่งเร้าเดิมปรากฎขึ้นมา (สิทธิโชค วรานุกูลสันติ, 2546, หน้า 51) ในทางกลับกัน หากการแสดงพฤติกรรมนั้นไม่ได้รับรางวัลตอบแทน แต่มีการลงโทษ โอกาสที่บุคคลจะแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ำก็น้อยลงด้วย (Robbins, 2003, p. 46)


บรรณานุกรม

ไวพจน์ กุลาชัย (2552). การเมืองในองค์การและทัศนคติของข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับประสิทธิผลขององค์การ, ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (รัฐประศาสนศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

ไพบูลย์ เทวรักษ์. (2540). จิตวิทยาการเรียนรู้ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ เอส ดี เพรส การพิมพ์.

ภิภพ ชวังเงิน. (2547). พฤติกรรมองค์การ. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์อักษรพิทยา.

สิทธิโชค วรานุกูลสันติ. (2546). จิตวิทยาสังคม: ทฤษฎีและการประยุกต์. กรุงเทพมหานคร:
สำนักพิมพ์เม็ดทรายพริ้นติ้ง.

Baruque, L. B., & Melo, R. N. (2004). Learning theory and instructionaldesign using learning objects. Journal of Educational Multimedia and Hypermedia, 13(4), 343-370.

Bolles, R. C. (1975). Learning Theory. New York: Holt Rinehart and Winston.

Robbins, S. P. (2003). Organizational behavior (10th ed.). Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall.

6 กรกฏาคม 2554

ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม

ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมนี้ เป็นแนวคิดของ แบนดูรา (Bandara 1977: 16 อ้างถึงใน ภัทรธิรา ผลงาม. 2544 หน้า 28) ซึ่งมีความเชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์ นอกเหนือจากปฏิกิริยาสะท้อนเบื้องต้นแล้ว เกิดจากการเรียนรู้ทั้งสิ้น และการเรียนรู้พฤติกรรมใหม่เหล่านั้นสามารถเรียนรู้ได้โดยประสบการณ์ตรงหรือไม่ก็โดยการสังเกต องค์ประกอบทางชีววิทยามีบทบาทสำคัญในกระบวนการเรียนรู้โดยพฤติกรรม นั้นก็ คือองค์ประกอบในตัวบุคคลมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้พฤติกรรม ในการอธิบายกระบวนการเกิดพฤติกรรมของมนุษย์
แบนคูรา ได้อธิบายรูปของการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่องระหว่างพฤติกรรม องค์ประกอบส่วนบุคคลและองค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อม โดยที่องค์ประกอบทั้ง 3 นี้จะมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน.
พฤติกรรมองค์ประกอบส่วน บุคคลและองค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อม มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน กล่าวคือ พฤติกรรมของมนุษย์สามารถกำหนดสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมก็สามารถกำหนด พฤติกรรม พฤติกรรมสามารถกำหนดองค์ประกอบส่วนบุคคล องค์ประกอบส่วนบุคคลก็สามารถกำหนดพฤติกรรมได้เช่นกัน ในทำนองเดียวกัน องค์ประกอบทาง สิ่งแวดล้อมและองค์ประกอบส่วนบุคคลก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน
แบนดูรา ได้กล่าวถึงตัวกำหนดพฤติกรรมว่า มี 2 ประการ คือ ตัวกำหนดพฤติกรรมที่เป็นสิ่งเร้า ซึ่งได้แก่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมการเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆในสิ่งแวดล้อมซ้ำ ๆ มนุษย์จะคาดการณ์ไว้ว่า ถ้ามีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นจะมีเหตุการณ์อะไรตามมาและตัวกำหนดพฤติกรรมอีกประการหนึ่ง คือ ตัวกำหนดที่เป็นผล ซึ่งได้แก่ผลของการกระทำมนุษย์จะเลือกกระทำพฤติกรรมที่ ได้รับผลทางบวก และจะหลีกการกระทำพฤติกรรมที่จะได้รับผลทางลบ
วิธีการเรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์ แบนลูราได้กล่าวว่า วิธีการเรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์มี 2 วิธี คือ การเรียนจากผลของการกระทำ และวิธีการเรียนรู้จากการเลียนแบบ โดยที่การเรียนรู้จากผลของการกระทำเป็นการ เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ซึ่งจะทำหน้าที่ 3 ประการ คือให้ข้อมูล จูงใจ และ เสริมแรง ส่วนการเรียนรู้จากการเลียนแบบเป็นการเรียนรู้จากการสังเกตตัวแบบกระทำ พฤติกรรม ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ทางอ้อม การเรียนรู้จากตัวแบบอาศัย กระบวนการเรียนรู้จากการสังเกตเป็นผลสำคัญ ซึ่งต้องอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการ คือ กระบวนการใส่ใจกระบวนการเก็บจำ กระบวนการทางกาย และ กระบวนการจูงใจ
นอกจากนี้ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมแบนดูรา ยังได้กล่าวถึงการควบคุมพฤติกรรมด้วยปัญญาไว้ว่า การเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่าง พฤติกรรมและผลของการกระทำจะอยู่ในรูปของความเชื่อและความคาดหวัง ซึ่งเป็น กระบวนการทางปัญญา ความเชื่อและความหวังนี้จะทำหน้าที่ควบคุมหรือกำกับการ กระทำของมนุษย์ในเวลาต่อมา การควบคุมพฤติกรรมด้วยปัญญาที่สำคัญที่เกี่ยวข้อง 3 ประการ คือ ความเชื่อเกี่ยวกับกฎเกณฑ์เงื่อนไข การคาดหวังเกี่ยวกับความสามารถ ของตนเองและผลที่จะเกิดขึ้นและสิ่งจูงใจ
ในการศึกษาครั้งนี้ ใช้แนวคิดของแบนดูรา เพื่อเป็นพื้นฐาน ในการกำหนดตัวแปรเกรดเฉลี่ย จากแนวคิดว่า สติปัญญาเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์

ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning)

ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning) ผู้ที่ทำการศึกษาทดลองในเรื่องนี้คือ พาฟลอฟ (Pavlov) ทำการศึกษาทดลองกับสุนัข โดยฝึกสุนัขให้ยืนนิ่งอยู่ในที่ตรึงในห้องทดลอง ที่ข้างแก้มของสุนัขติดเครื่องมือวัดระดับการไหลของน้ำลาย การทดลองแบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ ก่อนการวางเงื่อนไข ระหว่างการวางเงื่อนไข และหลังการวางเงื่อนไข


ขั้นที่ 1 เสียงกระดิ่ง (CS) ไม่มีน้ำลาย ผงเนื้อ (UCS) น้ำลายไหล (UCR)
ขั้นที่ 2 เสียงกระดิ่ง น้ำลายไหล (UCR) และผงเนื้อ (UCS) ทำขั้นที่ 2 ซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง
ขั้นที่ 3 เสียงกระดิ่ง (CS) น้ำลายไหล (CR)

การเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคคือการตอบสนองที่เป็นไปโดยอัตโนมัติเมื่อนำสิ่งเร้าใหม่มาควบคู่กับสิ่งเร้าเดิม ซึ่งนักจิตวิทยาเรียกพฤติกรรมการตอบสนองนี้ว่าพฤติกรรมเรสปอนเด้นท์


1. คำศัพท์ที่สำคัญในการศึกษาทดลองของพาฟลอฟ
สิ่งเร้าที่เป็นกลาง (Neutral Stimulus) คือสิ่งเร้าที่ไม่ก่อให้เกิดการตอบสนอง ซึ่งในที่นี้ก็คือ เสียงกระดิ่งในขั้นที่ 1 สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข (Unconditioned Stimulus หรือ US) คือสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดการตอบสนองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งในที่นี้ก็คือ อาหาร สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (Conditioned Stimulus หรือ CS) คือสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการตอบสนองได้หลังจากถูกวางเงื่อน ไขแล้ว ซึ่งในที่นี้ก็คือ เสียงกระดิ่ง การตอบสนองที่ไม่ได้ถูกวางเงื่อนไข (Unconditional Response หรือ UCR) คือการตอบสนองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ การตอบสนองที่ถูกวางเงื่อนไข (Conditional Response หรือ CR) คือการตอบสนองอันเป็นผลมาจากการเรียนรู้ที่ถูกวางเงื่อนไขแล้ว
2. กระบวนการสำคัญอันเกิดจากการเรียนรู้ของพาฟลอฟ
กระบวนการที่สำคัญ 3 ประการ อันเป็นผลจากการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข คือ การแผ่ขยาย คือความสามารถของอินทรีย์ที่จะตอบสนองในลักษณะเดิมต่อสิ่งเร้าที่มีความคล้ายคลึงกันได้ การจำแนก คือ ความสามารถของอินทรีย์ในการที่จะจำแนกความแตกต่างของสิ่งเร้าได้ การลบพฤติกรรมชั่วคราว คือ การที่พฤติกรรม การตอบสนองลดน้อยลงอันเป็นผลเนื่องจากการที่ไม่ได้รับสิ่งเร้าที่ไม่ได้ถูกวางเงื่อนไข ซึ่งในที่นี้ก็คือรางวัลหรือสิ่งที่ต้องการนั่นเอง
การฟื้นตัวของการตอบสนองที่วางเงื่อนไข หลังจากเกิดการลบพฤติกรรมชั่วคราวแล้ว สักระยะหนึ่งพฤติกรรมที่ถูกลบเงื่อนไขแล้วอาจฟื้นตัวเกิดขึ้นมาอีกได้รับการกระตุ้นโดยสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข

Psychoanalysis จิตวิเคราะห์

ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์

ฟรอยด์ (Freud, 1856-1939) เป็นชาวออสเตรีย เป็นคนแรกที่เห็นความสำคัญของ พัฒนาการในวัยเด็ก ถือว่าเป็นรากฐานของ พัฒนาการของบุคลิกภาพ ตอนวัยผู้ใหญ่ สนับสนุนคำกล่าวของนักกวี Wordsworth ที่ว่า "The child is father of the man" และมีความเชื่อว่า 5 ปีแรกของชีวิตมีความสำคัญมาก เป็นระยะวิกฤติของพัฒนาการ ของชีวิตบุคลิกภาพของผู้ใหญ่ มักจะเป็นผลรวมของ 5 ปีแรก ฟรอยด์เชื่อว่า บุคลิกภาพของผู้ใหญ่ ที่แตกต่างกัน ก็เนื่องจากประสบการณ์ของแต่ละคน เมื่อเวลาอยู่ในวัยเด็ก และขึ้นอยู่กับว่าเด็กแต่ละคน แก้ปัญหาของความขัดแย้งของแต่ละวัยอย่างไร ทฤษฎีของฟรอยด์มีอิทธิพลทางการ รักษาคนไข้โรคจิต วิธีการนี้เรียกว่า จิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) โดยให้คนไข้ระบายปัญหาให้จิตแพทย์ฟัง
ทฤษฎีของฟรอยด์อาจจะกล่าวหลักโดยย่อดังต่อไปนี้
ฟรอยด์ได้แบ่งจิตของมนุษย์ออกเป็น 3 ระดับ คือ
1.จิตสำนึก (Conscious)
2.จิตก่อนสำนึก (Pre-conscious)
3.จิตไร้สำนึก (Unconscious)
เนื่องจากระดับจิตสำนึก เป็นระดับที่ผู้แสดงพฤติกรรมทราบ และรู้ตัว ส่วนเนื้อหาของระดับ จิตก่อนสำนึก เป็นสิ่งที่จะดึงขึ้นมา อยู่ในระดับจิตสำนึก ได้ง่าย ถ้าหากมีความจำเป็นหรือต้องการ ระดับจิตไร้สำนึกเป็นระดับที่อยู่ในส่วนลึกภายในจิตใจ จะดึงขึ้นมาถึงระดับจิตสำนึกได้ยาก แต่สิ่งที่อยู่ในระดับไร้สำนึก ก็มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ฟรอยด์เป็นคนแรก ที่ได้ให้ความคิดเกี่ยวกับแรงผลักดันไร้สำนึก (Unconscious drive) หรือแรงจูงใจไร้สำนึก (Unconscious motivation) ว่าเป็นสาเหตุสำคัญของพฤติกรรม และมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพของมนุษย์
ฟรอยด์กล่าวว่า มนุษย์เรามีสัญชาติญาณติดตัวมาแต่กำเนิด และได้แบ่งสัญชาติญาณออกเป็น 2 ชนิดคือ
1) สัญชาติญาณเพื่อการดำรงชีวิต (Life instinct)
2) สัญชาติญาณเพื่อความตาย (Death instinct)
สัญชาตญาณบางอย่าง จะถูกเก็บกดไว้ในจิตไร้สำนึก ฟรอยด์ได้อธิบายเกี่ยวกับสัญชาตญาณ เพื่อการดำรงชีวิตไว้อย่างละเอียด ได้ตั้งสมมติฐานว่า มนุษย์เรามีพลังงานอยู่ในตัวตั้งแต่เกิด เรียกพลังงานนี้ว่า "Libido" เป็นพลังงานที่ทำให้คนเราอยากมีชีวิตอยู่ อยากสร้างสรรค์ และอยากจะมีความรัก มีแรงขับทางด้านเพศ หรือกามารมณ์ (Sex) เพื่อจุดเป้าหมาย คือความสุขและความพึงพอใจ (Pleasure) โดยมีส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ไวต่อความรู้สึก และได้เรียกส่วนนี้ว่า อีโรจีเนียสโซน (Erogenous Zones) แบ่งออกเป็นส่วนต่างดังนี้
- ส่วนปาก ช่องปาก (Oral)
- ส่วนทางทวารหนัก (Anal)
- และส่วนทางอวัยวะสืบพันธุ์ (Genital Organ)
ฉะนั้น ฟรอยด์กล่าวว่าความพึงพอใจในส่วนต่างๆ ของร่างกายนี้ เป็นไปตามวัย เริ่มตั้งแต่วัยทารก จนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ขั้น คือ
1. ขั้นปาก (Oral Stage)
2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage)
3. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage)
4. ขั้นแฝง (Latence Stage)
5. ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital Stage)
1) ขั้นปาก (0-18 เดือน) ฟรอยด์เรียกขั้นนี้ว่า เป็นขั้นออรอล เพราะความพึงพอใจอยู่ที่ช่องปาก เริ่มตั้งแต่เกิด เด็กอ่อนจนถึงอายุราวๆ 2 ปี หรือวัยทารก เป็นวัยที่ความพึงพอใจ เกิดจากการดูดนมแม่ นมขวด และดูดนิ้ว เป็นต้น ในวัยนี้ความคับข้องใจ จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า "การติดตรึงอยู่กับที่" (Fixation) ได้และมีปัญหาทางด้านบุคลิกภาพ เรียกว่า "Oral Personality" มีลักษณะที่ชอบพูดมาก และมักจะติดบุหรี่ เหล้า และชอบดูด หรือกัดอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีความเครียด บางครั้งจะแสดงด้วยการดูดนิ้ว หรือดินสอ ปากกาู้มีลักษณะแบบนี้อาจจะชอบพูดจาถากถาง เหน็บแนม เสียดสีผู้อื่น
2) ขั้นทวารหนัก (18 เดือน – 3 ปี) ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กวัยนี้ได้รับความพึงพอใจทางทวารหนัก คือ จากการขับถ่ายอุจจาระ และในระยะซึ่งเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง และความคับข้องใจของเด็กวัยนี้ เพราะพ่อแม่มักจะหัดให้เด็กใช้กระโถน และต้องขับถ่ายเป็นเวลา เนื่องจากเจ้าของความต้องการของผู้ฝึก และความต้องการของเด็ก เกี่ยวกับการขับถ่ายไม่ตรงกันของเด็ก คือความอยากที่จะถ่ายเมื่อไรก็ควรจะทำได้ เด็กอยากจะขับถ่ายเวลาที่มีความต้องการ กับการที่พ่อแม่หัดให้ขับถ่ายเป็นเวลา บางทีเกิดความขัดแย้งมาก อาจจะทำให้เกิด Fixation และทำให้เกิดมีบุคลิกภาพนี้เรียกว่า "Anal Personality" ผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ อาจจะเป็นคนที่ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นพิเศษ และค่อนข้างประหยัด 3) ขั้นอวัยวะเพศ (3-5 ปี) ความพึงพอใจของเด็กวัยนี้อยู่อวัยวะสืบพันธุ์ เด็กมักจะจับต้องลูกคลำอวัยวะเพศ ระยะนี้ ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กผู้ชายมีปมเอ็ดดิปุส (Oedipus Complex) ฟรอยด์อธิบายการเกิดของปมเอ็ดดิปุสว่า เด็กผู้ชายติดแม่และรักแม่มาก และต้องการที่จะเป็นเจ้าของแม่แต่เพียงคนเดียว และต้องการร่วมรักกับแม่ แต่ขณะเดียวกันก็ทราบว่าแม่และพ่อรักกัน และก็รู้ดีว่าตนด้อยกว่าพ่อทุกอย่าง ทั้งด้านกำลังและอำนาจ ประกอบกับความรักพ่อ และกลัวพ่อ ฉะนั้นเด็กก็พยายามที่จะเก็บกดความรู้สึก ที่อยากเป็นเจ้าของแม่แต่คนเดียว และพยายามทำตัวให้เหมือนกับพ่อทุกอย่าง ฟรอยด์เรียกกระบวนนี้ว่า "Resolution of Oedipal Complex" เป็นกระบวนการที่เด็กชายเลียนแบบพ่อ ทำตัวให้เหมือน "ผู้ชาย" ส่วนเด็กหญิงมีปมอีเล็คตรา (Electra Complex) ซึ่งฟรอยด์ก็ได้ความคิดมาจากนิยายกรีก เหมือนกับปมเอ็ดดิปุส ฟรอยด์อธิบายว่า แรกทีเดียวเด็กหญิงก็รักแม่มากเหมือนเด็กชาย แต่เมื่อโตขึ้นพบว่าตนเองไม่มีอวัยวะเพศเหมือนเด็กชาย และมีความรู้สึกอิจฉาผู้ที่มีอวัยวะเพศชาย แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ยอมรับ และโกรธแม่มาก ถอนความรักจากแม่มารักพ่อ ที่มีอวัยวะเพศที่ตนปรารถนาจะมี แต่ก็รู้ว่าแม่และพ่อรักกัน เด็กหญิงจึงแก้ปัญหาด้วยการใช้กลไกป้องกันตน โดยเก็บความรู้สึกความต้องการของตน (Represtion) และเปลี่ยนจากการโกรธเกลียดแม่ มาเป็นรักแม่ (Reaction Formation) ขณะเดียวกันก็อยากทำตัวให้เหมือนแม่ จึงเลียนแบบ สรุปได้ว่าเด็กหญิงมีความรักพ่อ แต่ก็รู้ว่าแย่งพ่อมาจากแม่ไม่ได้ จึงเลียนแบบแม่ คือ ถือแม่เป็นแบบฉบับ หรือต้นแบบของพฤติกรรมของ "ผู้หญิง"
4) ขั้นแฝง (Latency Stage) เด็กวัยนี้อยู่ระหว่างอายุ 6-12 ปี เป็นระยะที่ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กเก็บกดความต้องการทางเพศ หรือความต้องการทางเพศสงบลง (Quiescence Period) เด็กชายมักเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กชาย ส่วนเด็กหญิง ก็จะเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กหญิง
5) ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital Stage) วัยนี้เป็นวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป จะมีความต้องการทางเพศ วัยนี้จะมีความสนใจในเพศตรงข้าม ซึ่งเป็นระยะเริ่มต้นของวัยผู้ใหญ่
ฟรอยด์กล่าวว่า ถ้าเด็กโชคดี และผ่านวัยแต่ละวัย โดยไม่มีปัญหาก็จะเจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มีบุคลิกภาพปกติ แต่ถ้าเด็กมีปัญหา ในแต่ละขั้นของพัฒนาการ ก็จะมีบุคลิกภาพผิดปกติ ซึ่งฟรอยด์ได้ตั้งชื่อตามแต่ละวัย เช่น "Oral Personalities" เป็นผลของ Fixation ในวัยทารกจนถึง 2 ปี ผู้ใหญ่ที่มี Oral Personality เป็นผู้ที่มีความต้องการที่จะหาความพึงพอใจ ทางปากอย่างไม่จำกัด เช่น สูบบุหรี่ กัดนิ้ว ดูดนิ้ว รับประทานมาก มีความสุขในการกิน และชอบดื่ม คนที่มี Oral Personality อาจจะเป็นผู้ที่เห็นโลกในทางดี (Optimist) มากเกินไป จนถึงกับเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงของชีวิต หรืออาจจะเป็น คนที่แสดงตนว่าเป็นคนเก่ง ไม่กลัวใคร และใช้ปากเป็นเครื่องมือ เช่น ชอบพูดเยาะเย้ย ถากถางและกระแนะกระแหนผู้อื่น
ถ้า Fixation เกิดในระยะที่ 2 ของชีวิต คือ อายุราวๆ 2-3 ปี จะทำให้บุคคลนั้น มีบุคลิกภาพแบบ Anal Personality ซึ่งอาจจะมีลักษณะต่างๆ ดังนี้
(1) เป็นคนเจ้าสะอาดมากเกินไป (Obsessively Clean) และเรียบร้อยเจ้าระเบียบ เข้มงวด และเป็นคนที่ต้องทำอะไรตามกฎเกณฑ์ เปลี่ยนแนวไม่ได้
(2) อาจจะมีลักษณะตรงข้ามเลย คือ รุงรัง ไม่เป็นระเบียบ
(3) อาจจะเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย หรือตระหนี่ก็ได้ ผู้ชายที่แต่งงานก็คิดว่า ตนเป็นเจ้าของ "ผู้หญิง" ที่เป็นภรรยาเก็บไว้แต่ในบ้าน หึงหวงจนทำให้ภรรยาไม่มีความสุข ผู้หญิงที่มี Anal personality ก็จะหึงหวงสามีมาก จนทำให้ชีวิตสมรสไม่มีความสุข
บุคลิกภาพ : Id Ego และ Superego
Id เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด แต่เป็นส่วนที่จิตไร้สำนึก มีหลักการที่จะสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น เอาแต่ได้อย่างเดียว และจุดเป้าหมายก็คือ หลักความพึงพอใจ (Pleasure Principle) Id จะผลักดันให้ Ego ประกอบในสิ่งต่างๆ ตามที่ Id ต้องการ
Ego เป็นส่วนของบุคลิกภาพ ที่พัฒนามาจากการที่ทารกได้ติดต่อ หรือมีปฎิสัมพันธ์กับโลก ภายนอก บุคคลที่มีบุคลิกภาพปกติ คือ บุคคลที่ Ego สามารถที่ปรับตัวให้เกิดสมดุลระหว่างความต้องการของ Id โลกภายนอก และ Superego หลักการที่ Ego ใช้คือหลักแห่งความเป็นจริง (Reality Principle)
Superego เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่เกิดขึ้นในระยะที่ 3 ของพัฒนาการที่ชื่อว่า "Phallic Stage" เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ตั้งมาตรการของพฤติกรรมให้แต่ละบุคคล โดยรับค่านิยมและมาตรฐานจริยธรรมของบิดามารดา เป็นของตน โดยตั้งเป็นมาตรการความประพฤติ มาตรการนี้จะเป็นเสียงแทนบิดามารดา คอยบอกว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควรทำ มาตรการของพฤติกรรมโดยมากได้มาจากกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่พ่อแม่สอนและ มักจะเป็นมาตรฐานจริยธรรม และค่านิยมต่างของพ่อแม่ ฟรอยด์กล่าวว่าเป็นผลของการปรับของ Oedipus และ Electra Complex ซึ่งนอกจาก ทำให้เด็กชายเลียนแบบพฤติกรรมของ "ผู้ชาย" จากบิดา และเด็กหญิงเลียนแบบพฤติกรรมของ "ผู้หญิง" จากมารดาแล้ว ยังยึดถือหลักจริยธรรม ค่านิยมของบิดามารดา เป็นมาตรการของพฤติกรรมด้วย
Superego แบ่งเป็น 2 อย่างคือ
1. "Conscience" ซึ่งคอยบอกให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา
2. "Ego ideal" ซึ่งสนับสนุนให้มีความประพฤติดี
"Conscience" มักจะเกิดจากการขู่ว่าจะทำโทษ เช่น "ถ้าทำอย่างนั้นเป็นเด็กไม่ดี ควรจะละอายแก่ใจที่ประพฤติเช่นนั้น" ส่วน "Ego ideal" มักจะเกิดจากการให้แรงเสริมบวก หรือการยอมรับ เช่น แม่รักหนู เพราะหนูเป็นเด็กดี
ฟรอยด์ถือว่าความต้องการทางเพศเป็นแรงขับ และไม่จำเป็นจะอยู่ในระดับจิตสำนึกเสมอไป แต่จะอาจอยู่ในระดับจิตไร้สำนึก (Unconscious) และมีพลังงานมาก ความคิดของฟรอยด์เกี่ยวกับแรงขับระดับจิตไร้สำนึก เป็นประโยชน์ในการเข้าใจพฤติกรรมของคน ซึ่งปัจจุบันนี้นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ยอมรับความคิดของฟรอยด์เกี่ยวกับ Unconscious motivation แม้ว่าจะไม่รับหลักการของฟรอยด์ทั้งหมด
ฟรอยด์กล่าวว่า พัฒนาการทางบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะขั้นวัยทารก วัยเด็ก และวัยรุ่น ระบบทั้ง 3 ของบุคลิกภาพ คือ Id, Ego และ Superego จะทำงานประสานกันดีขึ้น เนื่องจากเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือโลกภายนอกมากขึ้น ยิ่งโตขึ้น Ego ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และสามารถที่จะควบคุม Id ได้มากขึ้น
องค์ประกอบที่มีส่วนพัฒนาการทางบุคลิกภาพมีหลายอย่างซึ่งฟรอยด์ได้กล่าวไว้ดังต่อไปนี้
1. วุฒิภาวะ ซึ่งหมายถึงขั้นพัฒนาการตามวัย
2. ความคับข้องใจ ที่เกิดจากความสมหวังไม่สมหวัง เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
3. ความคับข้องใจ เนื่องมาจากความขัดแย้งภายใน
4. ความไม่พร้อมของตนเอง ทั้งทางด้านร่างกาย ด้านเชาวน์ปัญญา และการขาดประสบการณ์
5. ความวิตกกังวล เนื่องมาจากความกลัว หรือความไม่กล้าของตนเอง

ฟรอยด์เชื่อว่า ความคับข้องใจ เป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาการทางบุคลิกภาพ แต่ต้องมีจำนวนพอเหมาะที่จะช่วยพัฒนา Ego แต่ถ้ามีความคับข้องใจมากเกินไป ก็จะเกิดมีปัญหา และทำให้เกิดกลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) ซึ่งเป็นวิธีการปรับตัวในระดับจิตไร้สำนึก
กลไกในการป้องกันตัวมักจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของบุคคลปกติทุกวัย ตั้งแต่อนุบาลจนถึงวัยชรา
กลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) ฟรอยด์และบุตรีแอนนา ฟรอยด์ ได้แบ่งประเภทกลไกในการป้องกันตัวดังต่อไปนี้
การเก็บกด (Repression) หมายถึง การเก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือความรู้สึกผิดหวัง ความคับข้องใจไว้ในจิตใต้สำนึก จนกระทั่ง ลืมกลไกป้องกันตัวประเภทนี้มีอันตราย เพราะถ้าเก็บกดความรู้สึกไว้มากจะมีความวิตกกังวลใจมาก และอาจทำให้เป็นโรคประสาทได้
การป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น (Projection) หมายถึง การลดความวิตกกังวล โดยการป้ายความผิด ให้แก่ผู้อื่น ตัวอย่าง ถ้าตนเองรู้สึกเกลียด หรือไม่ชอบใครที่ตนควรจะชอบก็อาจจะบอกว่า คนนั้นไม่ชอบตน เด็กบางคนที่โกงในเวลาสอบ ก็อาจจะป้ายความผิด หรือใส่โทษว่าเพื่อโกง
การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) หมายถึง การปรับตัว โดยการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง โดยให้คำอธิบายที่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนอื่น ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่ตีลูก มักจะบอกว่า การตีทำเพื่อเด็ก เพราะเด็กต้องได้รับการทำโทษเป็นบางครั้งจะได้เป็นคนดี พ่อแม่จะไม่ยอมรับว่าตี เพราะโกรธลูก นักเรียนที่สอบตกก็อาจจะอ้างว่าไม่สบาย แทนที่จะบอกว่าไม่ได้ดูหนังสือ บางครั้งจะใช้เหตุผลแบบ "องุ่นเปรี้ยว" เช่น นักเรียนอยากเรียนแพทยศาสตร์ แต่สอบเข้าไม่ได้ ได้วิศวกรรมศาสตร์ อาจจะบอกว่าเข้าแพทย์ไม่ได้ก็ดีแล้ว เพราะอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่เหน็ดเหนื่อย ไม่มีเวลาของตนเอง เป็นวิศวกรดีกว่า เพราะเป็นอาชีพอิสระ "การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง" แตกต่างกับการโกหก เพราะผู้แสดงพฤติกรรมไม่รู้สึกว่าตนเองทำผิด
การถดถอย (Regression) หมายถึง การหนีกลับไปอยู่ในสภาพอดีตที่เคยทำให้ตนมีความสุข ตัวอย่างเช่น เด็ก 2-3 ขวบ ที่ช่วยตนเองได้ มีน้องใหม่ เห็นแม่ให้ความเอาใจใส่กับน้อง มีความรู้สึกว่าแม่ไม่รัก และไม่สนใจตนเท่าที่เคยได้รับ จะมีพฤติกรรมถดถอยไปอยู่ในวัยทารกที่ช่วยตนเองไม่ได้ ต้องให้แม่ทำให้ทุกอย่าง
การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation) หมายถึง กลไกป้องกันตน โดยการทุ่มเทในการแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคม อาจจะไม่ยอมรับ ตัวอย่างแม่ที่ไม่รักลูกคนใดคนหนึ่ง อาจจะมีพฤติกรรมตรงข้าม โดยการแสดงความรักมากอย่างผิดปกติ หรือเด็กที่มีอคติต่อนักเรียนต่างชาติที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน การจะแสดงพฤติกรรมเป็นเพื่อนที่ดีต่อนักเรียนผู้นั้น โดยทำตนเป็นเพื่อนสนิท เป็นต้น
การสร้างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน (Fantasy หรือ Day dreaming) กลไกป้องกันตัวประเภทนี้ เป็นการสร้างจินตนาการ หรือมโนภาพ เกี่ยวกับสิ่งที่ตนมีความต้องการ แต่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงคิดฝัน หรือสร้างวิมานในอากาศขึ้น เพื่อสนองความต้องการชั่วขณะหนึ่ง เป็นต้นว่า นักเรียนที่เรียนไม่ดี อาจจะฝันว่าตนเรียนเก่ง มีมโนภาพว่าตนได้รับรางวัล มีคนปรบมือให้เกียรติ เป็นต้น
การแยกตัว (Isolation) หมายถึง การแยกตนให้พ้นจากสถานการณ์ที่นำความคับข้องใจมาให้ โดยการแยกตนออกไปอยู่ตามลำพัง ตัวอย่างเช่น เด็กที่คิดว่าพ่อแม่ไม่รัก อาจจะแยกตนปิดประตูอยู่คนเดียว
การหาสิ่งมาแทนที่ (Displacement) เป็นการระบายอารมณ์โกรธ หรือคับข้องใจต่อคน หรือสิ่งของ ที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความคับข้องใจ เป็นต้นว่า บุคคลที่ถูกนายข่มขู่ หรือทำให้คับข้องใจ เมื่อกลับมาบ้านอาจจะใช้ภรรยา หรือลูกๆ เป็นแพะรับบาป เช่น อาจจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อภรรยา และลูก ๆ นักเรียนที่โกรธครู แต่ทำอะไรครูไม่ได้ ก็อาจจะเลือกสิ่งของ เช่น โต๊ะเก้าอี้เป็นสิ่งแทนที่ เช่น เตะโต๊ะ เก้าอี้
การเลียนแบบ (Identification) หมายถึง การปรับตัวโดยการเลียนแบบบุคคลที่ตนนิยมยกย่อง ตัวอย่างเช่น เด็กชายจะพยายามทำตัวให้เหมือนพ่อ เด็กหญิงจะทำตัวให้เหมือนแม่ ในพัฒนาการขั้นฟอลลิคของฟรอยด์ การเลียนแบบนอกจากจะเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมือนบุคคลที่ตนเลียนแบบ แม้ยังจะยึดถือค่านิยม และมีความรู้สึกร่วมกับผู้ที่เราเลียนแบบในความสำเร็จ หรือล้มเหลวของบุคคลนั้น การเลียนแบบไม่จำเป็นจะต้องเลียนแบบจากบุคคลจริงๆ แต่อาจจะเลียนแบบจากตัวเอกในละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โดยมีความรู้สึกร่วมกับผู้แสดง เมื่อประสบความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจ หรือเมื่อมีความสุขก็จะพลอยเป็นสุขไปด้วย
กลไกในการป้องกันตัว เป็นวิธีการที่บุคคลใช้ในการปรับตัว เมื่อประสบปัญหาความคับข้องใจ การใช้กลไกป้องกันจะช่วยยืดเวลาในการแก้ปัญหา เพราะจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด ความไม่สบายใจ ทำให้คิดหาเหตุผล หรือแก้ไขปัญหาได้
สรุปแล้วทฤษฎีของฟรอยด์ เป็นทฤษฎีที่มีอิทธิพลมากทั้งทางตรง และทางอ้อม ผู้ที่มีความเชื่อ และเลื่อมใสในทฤษฎีของฟรอยด์ ก็ได้นำหลักการต่างๆ ไปใช้ในการรักษาคนที่มีปัญหาทางบุคลิกภาพ ซึ่งได้ช่วยคนมากว่ากึ่งศตวรรษ ส่วนนักจิตวิทยาที่ไม่ใช้หลักจิตวิเคราะห์ ก็ได้นำความคิดของฟรอยด์ ไปทำงานวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการทางบุคลิกภาพ จึงนับว่าฟรอยด์เป็นนักจิตวิทยา ผู้มีอิทธิพลมากต่อพัฒนาการของวิชาจิตวิทยา


Read more: http://www.novabizz.com/NovaAce/Personality/Theory_Freud.htm#ixzz26BrMUJL6