วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

สาขาต่างๆของจิตวิทยา

สาขาต่างๆของจิตวิทยา

จิตวิทยาคลินิก



Ψ จิตวิทยาคลินิกจะมีจุดที่เน้นอยู่ 2 ส่วน คือ การทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา
(ระดับ A คือนักจิตวิทยาสาขาอื่นไม่สามารถทำได้เช่น rorchach WAIS เป็นต้น) และทำจิตบำบัด
การเรียนจะเกี่ยวกับอาการผิดปกติทางจิต ทั้งเรื่องโรค พยาธิสภาพ การใช้เครื่องมือหรือแบบวัดทางจิต เพื่อใช้ในการตรวจเป็นข้อมูลประกอบในการวินิจฉัยโรคทางจิต การทำจิตบำบัด
งาน - ตรงตามสายงานคือเป็นนักจิตวิทยาคลินิกในโรงพยาบาล เพื่อทำการประเมินและบำบัดทางจิตแก่ผู้ป่วยทางจิตเวช เป็นนักจิตวิทยาตามสถานพินิจหรือศาล เพื่อทำการประเมินสภาพจิตของผู้ต้องหา รวมทั้งทำกิจกรรมหรือบำบัดทางจิตแก่ผู้ต้องขัง ตอนนี้ทางจิตวิทยาคลินิกมีการสอบใบประกอบโรคศิลปแล้ว ซึ่งทำให้คาดว่าน่าจะสามารถเปิดคลินิกบำบัดได้เช่นเดียวกับในต่างประเทศ และจะทำให้สามารถรับงานอิสระได้มากขึ้น



จิตวิทยาอุตสาหกรรมฯ



Ψ จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ (Industrial and Organizational Psychology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาจิตวิทยา เพื่อนำมาประยุกต์กับการทำงานและนำมาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีของบุคลากรทุกระดับในบริบทของการทำงาน ยังผลให้องค์การสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประเทศไทยที่จำเป็นต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มคุณภาพประสิทธิภาพ และผลิตภาพ(ที่มา:http://www.psy.chula.ac.th/psy/files/ProgramIO.pdf)
Ψ เรียนตั้งแต่คัดเลือกคนเข้าทำงานให้เหมาะสม จะมีคำที่เป็นคติของจิตอุตฯว่า put the right man on the right job อีกส่วนก็คือการฝึกอบรมพนักงาน คือเรียนเกี่ยวกับการพยายามให้งานที่จะออกมานั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึง ทรัพยากรมนุษย์ ด้วยอะค่ะ
งานที่ตรงสาขาที่สุดก็เลยเป็นตำแหน่งฝ่ายบุคคล หรือเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมตามบริษัทหรือโรงงานต่างๆ



จิตพัฒนาการ



Ψ จิตพัฒนาการจะเน้นที่การส่งเสริมพัฒนาการของบุคคลในทุกช่วงวัยให้เป็นไปตามพัฒนาการของและช่วงวัย ซึ่งมักจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเด็กและวัยรุ่น เรียนพัฒนาการทุกช่วงวัย ทั้งทางร่างกาย จิตใจ ความต้องการทางสังคม การใช้ชีวิต ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่, อุแว้ๆ ออกมา เป็นทารก เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น, ผู้ใหญ่จนกระทั่งแก่ตาย
Ψ จิตวิทยาพัฒนาการเป็นเสมือนสาขาใหญ่ของจิตวิทยาที่เรียนเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ในทุกช่วงวัย ซึ่งสามารถศึกษาต่อเฉพาะช่วงวัยได้อีกเช่น จิตวิทยาเด็ก จิตวิทยาวัยรุ่น เป็นต้น สาขานี้เกิดจากแนวความคิดที่จะอธิบายพฤติกรรม จิตใจ รวมทั้งความสามารถต่างๆของมนุษย์ในแต่ละช่วงวัย และเพื่อที่หาหาแนวทางที่จะทำให้มนุษย์มีพัฒนาการที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยของตนเอง



จิตวิทยาสังคม



Ψ จิตวิทยาสังคม เป็นวิชาที่ศึกษาพฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์ โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อทำความเข้าใจอิทธิพลของสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์(ที่มา: http://www.sau.ac.th/main/Subject/pc102/lesson1.pdf )



จิตชุมชน



Ψ จิตวิทยาชุมชนนั้นแยกออกมาจากจิตวิทยาคลินิกอีกทีแต่จะเป็นการทำงานในทางป้องกันมากกว่ารักษา จิตวิทยาชุมชนจะมีลักษณะที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือจะเป็นเหมือนจุดกึ่งกลางระหว่างจิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาอุตสาหกรรม และจิตวิทยาสังคม งานที่ส่วนใหญ่มักเข้าไปทำคือการฝึกอบรม



จิตวิทยาการปรึกษา



Ψ จิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ การปรึกษาเชิงจิตวิทยา (Counseling) ซึ่งเป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้มีปัญหาได้ทำความเข้าใจกับปัญหาของตน และมองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง โดยนักจิตวิทยาการปรึกษา (Counselor) มีหน้าที่เป็นผู้เอื้อให้ผู้มีปัญหาได้เข้าใจปัญหาของตนอย่างชัดเจนที่สุด นักจิตวิทยาการปรึกษาจะไม่เข้าไปบงการ แนะนำ หรือ แทรกแซง ผู้รับบริการ แต่ละช่วยให้เค้าสามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตัวเอง
ผู้เข้ารับบริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาจะได้รับประโยชน์ ในแง่ของการเกิดความเข้าใจในตนเอง และสามารถวางแนวทางการดำเนินชีวิตตนเองได้อย่างเหมาะสม สามารถเผชิญสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างมั่นคง และสามารถจัดการปัญหาของตนได้อย่างสอดคล้องและเหมาะสมกับความเป็นจริง และยังช่วยให้ค้นพบศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ในการพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ขยายทัศนะการสองโลก และชีวิตก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองในทางที่ดี
ระ (ที่มา: http://www.psy.chula.ac.th/psy/files/intro_counseling.pdf )



จิตวิทยาการแนะแนว



Ψ ก็เรียนไปทางเป็นอาจารย์แนะแนวในโรงเรียนอะค่ะ เรื่องที่เรียนเช่น หลักการแนะแนวในโรงเรียนเพื่อพัฒนานักเรียน /ความเข้าใจเกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เพื่อให้สามารถจำแนก ช่วยเหลือและพัฒนานักเรียนได้อย่างเหมาะสม/วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในงานแนะแนว

จิตวิทยาทั่วไป : ชาย ขอ เงียบ หญิง ขอ เคลียร์ !!

จิตวิทยาทั่วไป

ชายขอเงียบ หญิงขอเคลียร์ !!

ความแตกต่างระหว่าง ผู้ชาย ผู้หญิง

เอเจนซีส์ – ความที่ผู้ชายไม่ชอบพูดเวลามีปัญหา อาจทำให้ภรรยาหรือแฟนที่ช่างเจรจาเดือดปุดๆ และดูเหมือนว่าพฤติกรรมต่างขั้วนี้จะหยั่งรากมาตั้งแต่เด็ก

งานศึกษาระบุว่า ผู้ชายส่วนใหญ่แค่ไม่เห็นประโยชน์ในการเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่เพราะต้องการจะปิดกั้นความรู้สึกแต่อย่างใด

นักวิจัยเผยว่า ขณะที่เด็กผู้หญิงเชื่อว่าการพูดถึงปัญหาที่บางครั้งเป็นไปอย่างชนิดไม่ยอมจบ ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น แต่เด็กผู้ชายกลับคิดว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า และกลยุทธ์นั้น ‘พิลึก’ ทั้งนี้ทัศนคติที่ตรงข้ามกันนี้อาจเป็นที่มาของการปีนเกลียวในความสัมพันธ์ในอนาคต

ดร.อแมนดา โรส จากมหาวิทยาลัยมิสซูรี สหรัฐฯ ทำการศึกษา 4 ชุด ครอบคลุมเด็กและวัยรุ่นเกือบ 2,000 คน

"นักจิตวิทยาชื่อดังพูดกันมานานแล้วว่าเด็กผู้ชายและผู้ชายอยากพูดถึงปัญหา แต่ต้องเก็บกดไว้เพราะลำบากใจและกลัวถูกมองว่าอ่อนแอ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเราถามเด็กผู้ชายว่า การพูดถึงปัญหาทำให้รู้สึกอย่างไร ปรากฏว่าพวกเขาไม่ได้แสดงความโกรธหรือเครียดเกี่ยวกับการพูดคุยเรื่องปัญหามากไปกว่าเด็กผู้หญิง
แต่คำตอบบ่งชี้ว่า เด็กผู้ชายแค่ไม่คิดว่าการพูดถึงปัญหาเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์เท่านั้น"

ดร.โรสเสริมว่า การค้นพบนี้ยังช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมชายและหญิงจึงมีทัศนคติต่างกันในการจัดการกับปัญหาความสัมพันธ์

“ผู้หญิงจะรบเร้าให้แฟนระบายความกังวลออกมา เพราะคิดว่าจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ผู้ชายอาจไม่สนใจ และคิดว่ามีวิธีแก้ไขแบบอื่น ผู้ชายยังมีแนวโน้มมากกว่าที่จะคิดว่าการพูดกลับยิ่งทำให้ปัญหาบานปลาย แต่การปลีกตัวไปทำกิจกรรมอื่นช่วยขจัดปัญหาไปจากสมองได้”

ในการศึกษาก่อนหน้านี้ ดร.โรสแสดงให้เห็นว่า การพยายามทบทวนปัญหาตลอดเวลาทำให้ผู้หญิงยิ่งเครียดและกังวล

“โดยเฉพาะปัญหาที่ผู้หญิงควบคุมไม่ได้ เช่น ผู้หญิงอีกคนชอบตนหรือเปล่า จะได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้ที่มีแต่คนเด่นคนดังไปหรือไม่”

ดร.โรส ซึ่งรายงานผลการศึกษาไว้ในวารสารไชด์ ดิเวลอปเมนท์ กล่าวว่าพ่อแม่ควรเรียนรู้จากผลการค้นพบนี้ และส่งเสริมให้ลูกชายตระหนักว่าบางครั้งการเปิดเผยความในใจเป็นสิ่งที่ควรทำ และในทางกลับกัน ควรสอนลูกสาวว่าการหมกมุ่นครุ่นคิดถึงปัญหามากเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี

ขอบคุณข้อมูลจิตวิทยาทั่วไปดีๆจาก ผู้จัดการออนไลน์

จิตวิทยาความรัก : ตกหลุมรัก ของ หนุ่ม สาว ใช้เวลาต่างกัน

จิตวิทยาความรัก
ตกหลุมรัก ของ หนุ่ม สาว ใช้เวลาต่างกัน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผลสำรวจที่กระทำต่อผู้ชายและผู้หญิงกลุ่มละ 1,500 คน อายุระหว่าง 16-86 ปี พบว่า ผู้ชาย 1 ใน 5 จะตกหลุมรักเพียงแค่แรกเห็น และกว่าครึ่งหนึ่งจะรู้ถึง "ผู้หญิงที่ใช่" ภายหลังได้ออกเดทด้วยกันเพียง 1 ครั้ง และเกือบ 1 ใน 3 จะตกหลุมรักหลังออกเดทได้ 3 ครั้ง ขณะเดียวกัน ผู้หญิง 1 ใน 10 เท่านั้นที่จะมีประสบการณ์รักเพียงแรกเห็น โดยส่วนใหญ่จะคอยจนกว่าเดทครั้่ง 6 ก่อนที่จะตัดสินใจว่า พวกเธอได้พบผู้ชายที่ใช่แล้วหรือไม่

ผลสำรวจนี้ถือเป็นหักทฤษฎีก่อนหน้านี้ที่เชื่อว่า ผู้หญิงมักเป็นเพศที่มีโอกาสตกหลุมรักโดยฉับพลันจากประสบการณ์ของตัวเอง โดยผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างทัศนะของชายและหญิงเกี่ยวกับความหมายของการตกหลุมรักและวิธีการเลือกคู่ครองของแต่ละเพศ

ศาสตราจารย์อเล็กซานเดอร์ กอร์ดอน นักจิตวิทยา กล่าวว่า ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะวัดระดับปัจจัยของเพศตรงข้ามอย่างคร่าว ๆ และฉาบฉวยกว่า เช่น ใบหน้า ว่า พวกเขาควรจะตกหลุมรักหรือไม่ ส่วนผู้หญิงจะซับซ้อนกว่า โดยพวกเธอจะชั่งน้ำหนักระหว่างส่วนดีและส่วนเสียก่อนจะตัดสินใจ โดยผู้หญิงจะอ่านสถานการณ์ทางสังคมได้ดีกว่าผู้ชาย และน่าจะตั้งคำถามกับตัวเองมากกว่า หลังจากมีเดท เช่น ผู้ชายที่คุยด้วย ทำให้เธอรู้สึก"มั่นคง"หรือไม่ หรือ"สามารถ"เป็นพ่อที่ดีของลูกเธอได้หรือไม่ และกล่าวได้ว่า ผู้หญิงจะเฉียบแหลมกว่าผู้ชายในการเลือกคู่ชีวิต

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ประสบการณ์รักครั้งแรก โดยทั้งชายและหญิง ต่างคิดว่ารักครั้งแรกเป็นความรักที่ติดตัวพวกเขายาวนานที่สุด โดย 1 ใน 4 บอกว่า พวกเขาไม่สามารถลืมรักเก่าได้อย่าง 100 %


ขอบคุณข้อมูล จิตวิทยาความรัก ดีๆจาก มติชนออนไลน์

จิตวิทยาทั่วไป : สมองหญิงต่างจากชายจริงหรือ?

จิตวิทยาทั่วไป

สมองหญิงแตกต่างจากชายจริงหรือ??
หลายคนที่ชอบอ่านพ๊อกเก็ตบุคเล่มเล็กๆคงเคยได้ยิน ชายมาจากดาวอังคาร หญิงมาจากดาวศุกร์กันบ้างแล้ว ซึ่งทีมงานกรมสุขภาพจิตก็เคยนำเสนอบทความดังกล่าวมาแล้ว พบว่าชายหญิงนั้นมีความแตกต่างกันที่นอกเหนือจากสรีระร่างกายแล้ว ในเรื่องความแตกต่างในเชิงวิธีคิดก็มีความต่างกัน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพื่อยืนยันความแตกต่างกันในเชิงความสามารถของสมองก็มีเช่นกัน ดังจะกล่าวต่อไปนี้

เมื่อเร็วๆนี้นิตยสารชื่อดังเช่นไทม์ ฉบับ 28 มีนาคม 2549 กล่าวเน้นให้เห็นความเชื่อดังกล่าวข้างต้น ซึ่งก็กลายมาเป็นข้อจำกัดบางเรื่องของสาวๆและแม่บ้านทั้งหลาย ผู้เคยชินกับการที่ตัวเองมีความสามารถในการจัดการกับปัญหาต่างๆในบ้าน และหรือนอกบ้าน (ในที่ทำงาน)ได้อย่างละเมียดละไม เรียนรู้เรื่องภาษาได้อย่างรวดเร็ว มีทักษะด้านความจำที่เหนือกว่าหนุ่มๆหรือพ่อบ้านได้อย่างเป็นจินตภาพ แตกต่างจากหนุ่มๆหรือพ่อบ้านที่มักจะขาดทักษะในการแก้ปัญหาที่มีรายละเอียดมาก (หรือเมินในการจดจำเรื่องราวต่างๆ) แต่มีความถนัดในเรื่องวิศวะอิเลกทรอนิกซ์ เครื่องยนต์กลไก เพราะมีพื้นฐานทักษะทางคณิตศาสตร์ การบวกลบคูณหารที่ดีกว่า นั่นเป็นเพราะว่าโครงสร้างทางสมองของเพศหญิงแตกต่างจากสมองของเพศชาย

จริงหรือไม่มีหลายคนคงสงสัยเช่นกัน

จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ด้านสมอง (neuroscientist) ที่ชื่อซานด้าน วิเทลสัน ได้ทุ่มเทเวลาศึกษาเรื่องสมองมนุษย์ โดยเฉพาะในประเด็นที่หลายคนอาจจะตั้งคำถามไว้ในใจว่า "เหตุใดอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จึงได้ฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก" การศึกษาครั้งนั้นได้สร้างชื่อเสียงให้เธอในช่วงทศวรรษที่ 1990 เป็นอย่างมาก ช่วงทศวรรษให้หลัง แซนด้าก็มีศึกษาหาคำตอบว่าปัจจัยให้สมองของเพศหญิงแตกต่างจากเพศชายเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน อุปนิสัย อาหาร และยาที่ใช้

จากการศึกษาพบว่า เมื่อขณะที่เราเป็นเด็กนั้น โครงสร้างทางสมองของเด็กหญิงและเด็กชาย โดยเฉพาะทักษะความสามารถทางคณิตศาสตร์นั้นไม่มีความแตกต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสมมติฐานนั้นจะเป็นเช่นเดิม โดยจากการศึกษาพบว่าความแตกต่างจะเริ่มปรากฎให้เห็นเมื่อเด็กย่างเข้าสู่วัยเรียนในระดับเกรด 4 (ก็คงวัยชั้นประถมในบ้านเรา) ก่อนที่จะพัฒนาไปเรื่อยๆให้เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างเพศหญิงกับเพศชายมากยิ่งขึ้น โดยยืนยันได้จากผลการทดสอบ SAT (การทดสอบมาตรฐานทางคณิตศาสตร์) ที่เด็กวัยมัธยมบ้านเรารู้จักกันดีที่สัดส่วนคะแนนของเด็กหญิงจะได้น้อยกว่าเด็กชาย

อะไรที่บอกความแตกต่างทางโครงสร้างของสมองบ้าง

1. สมองส่วน Parietal Lobe แต่ก่อนมีความเชื่อว่าในเพศหญิงสมองส่วนนี้จะใหญ่กว่าเพศชายนั้น ไม่จริงเสียแล้ว

2. สมองส่วน Corpus Callosum ซึ่งเป็นส่วนที่เส้นประสาทสมองมีการเชื่อมต่อกันเพื่อให้เห็นพัฒนาการทางด้านความฉลาด จะเห็นการพัฒนาที่มีความแตกต่างกันระหว่างเพศหญิงและเพศชาย

3. สมองส่วน Prefrontal Cortex เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการด้านความคิดที่จะพัฒนาต่อไปเป็นอารมณ์ ในเพศหญิงพบว่ามีการใช้สมองส่วนนี้ทำงานมากกว่า

4. อมิกดาลา (Aygdala) เป็นส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำที่ลึกลับซับซ้อน หรือเป็นส่วนที่บางคนจะบอกว่าเป็นความจำเจ็ดชั่วโคตร ในเพศชายที่มีทักษะความสามารถด้านการควบคุมอารมณ์ได้ดี จะมีเส้นประสาทสมองเชื่อมต่อกับสมองส่วนนี้น้อย (หรือจะยืนยันความเป็นจริงที่ว่า เพศชายเขามักจะมีความทรงจำอะไรๆได้ไม่ดีนักเพราะเกี่ยวข้องกับสมองส่วนนี้หรือเปล่า) ในขณะที่เพศหญิงที่มีทักษะทางด้านภาษาศาสตร์จะพบการเชื่อมต่อของเส้นประสาทสมองส่วนนี้มีมากขึ้น (ท่านชายทั้งหลายอย่ามองข้าม ตรงนี้ยืนยันได้ว่าความจำของสตรีในบางเรื่องเป็นความจำที่เป็นเลิศ นั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับสมองส่วนนี้)

5. Cerebellum หรือสมองส่วนท้าย ในสมองส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับทักษะทางการเรียนรู้ ดังเช่น ทักษะทางคณิตศาสตร์ ดนตรี และทักษะทางสังคม เช่นเดียวกับสมองในส่วนข้อ 2 คือ Corpus Callosum จะมีความแตกต่างกันอย่างสมบูรณ์ระหว่างเพศหญิงและเพศชาย

จากการศึกษาของแซนด้ายังบอกอีกว่า จากโครงสร้างของสมอง โดยเฉพาะในส่วนของข้อ 3 Prefrontal Cortex (ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังหน้าผากจากมองมองสรีระภายนอก) ทำให้เพศชายเมื่อโตขึ้นจะมีความโผงผาง ดุดันกว่าเพศหญิง แถมเมื่อนานวันเข้า ก็มีโอกาสเสียเนื้อเยื่อที่ช่วยในการควบคุมตนเอง ขณะที่เพศหญิงกลับมีการพัฒนาเนื้อเยื่อในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้เราเห็นการพัฒนาของสมองส่วนนี้จาก คุณแม่ คุณป้า คุณย่า คุณยาย ที่จะมีความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นตามวัย (จริงเท็จอย่างไรก็ลองกลับไปดูคนที่บ้านดูแล้วส่งข้อมูลยืนยันความเชื่อนี้แลกเปลี่ยนกันด้วยจะเป็นพระคุณ)

จากผลงานเรื่องนี้จึงเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดี เพื่อนำไปสู่การศึกษาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆที่มีผลมากจากความผิดปกติของสมอง เช่น ออทิสติก อัลไซเมอร์ รวมไปถึงโรคจิตเภท ซึมเศร้า ช่วยเป็นแสงนำทางเราไปสู่การป้องกัน รักษาโรคเหล่านี้ได้มากขึ้นในอนาคต

เร็วๆนี้มีตัวอย่างคนไข้รายหนึ่ง ที่เปิดเผยเพื่อเป็นกรณีศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเพลซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์ยอนห์ แวน เดอมิเต กล่าวว่า มีเด็กหญิงวัยประถมรายหนึ่งมาพบจิตแพทย์ด้วยปัญหาไม่สามารถเรียนคณิตศาสตร์ได้ แต่เด็กมีทักษะทางภาษาศาสตร์ที่ดีมาก โดยเป็นตัวแทนชุมชนในการกล่าวสุนทรพจน์ เป็นนักพูด เรียนวรรณคดี และภาษาศาสตร์ได้ดี

ตอนหลังครู ผู้ปกครอง และเด็ก ก็ร่วมกันหาทางออกโดยการเปลี่ยนวิธีการเรียนคณิตศาสตร์แบบปกติทั่วไป เป็นการเรียนโดยใช้สัญญลักษณ์เชิงภาษาศาสตร์ที่เด็กมีความชำนาญ คือสื่อสารในแบบที่เด็กเข้าใจ ซึ่งต่อมาเด็กก็สามารถเรียนคณิตศาสตร์จนสามารถสอบได้คะแนนดีเยี่ยมตามมาทีหลังได้

กล่าวโดยสรุป ความเชื่อที่ว่าความสามารถทางสมองของเด็กหญิงและชายนั้นมีความแตกต่างกันที่เห็นได้ชัดคือวัยประถม เป็นสมมติฐานที่มีการศึกษามามากพอ แต่ในโลกยุคสมัยใหม่ที่มีการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง มีการวิจัยศึกษาและพัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ รวมถึงการมีพฤติกรรมสุขภาพของแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์ มีการอบรมเลี้ยงดูที่ดี ถึงแม้ว่าระหว่างเพศหญิงและชายจะมีลักษณะสมองที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะมองไม่เห็นแนวทางที่จะมีการส่งเสริมให้เด็กมีทักษะในสิ่งที่เด็กไม่มีพื้นฐานความชำนาญให้มีขึ้นมาได้ ตัวอย่างที่กล่าวถึงก็อาจจะเป็นแนวทางให้ผู้ปกครองหลายคนได้เรียนรู้ว่า ลูกหลานของเราสามารถที่จะพัฒนาการเรียนรู้ให้ชำนาญขึ้นมาใหม่ได้ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมเสริมต้นทุนที่เขาเหล่านั้นมีอยู่ให้มีมากยิ่งขึ้นต่อไปอีก

ปัจจุบัน เราจึงเห็นว่าลูกสาว หลานสาวเราทำคะแนนคณิตศาสตร์ได้สูสีกับเด็กผู้ชาย สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นวิศวะกร เป็นหมอเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคณะที่เรามักจะเห็นกันเฉพาะเพศชายมากกว่าเพศหญิง เช่นคณะวิศวะกรรมศาสตร์ ไปถึงคณะวิทยาศาสาต์ทางด้านการแพทย์ ชีวะ เคมี วิทยาศาสตร์อื่นๆมากขึ้น ซึ่งเห็นความชัดเจนมากขึ้นในการเรียนคณะดังกล่าวแม้แต่ในต่างประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ในประเทศเราเอง


ข้อมูลจาก นิตยาสารไทม์ ฉบับวันที่ 28 มีนาคม 2549 และนิตยสารชีวจิต ฉบับเดือนธันวาคม 2549

ขอบคุณข้อมูล จิตวิทยาทั่วไป จาก กรมสุขภาพจิต
photo credit : camb-ed.com.au

จิตวิทยาทั่วไป : ชาย-หญิง คิดต่าง

จิตวิทยาทั่วไป : ชาย-หญิง คิดต่าง

บุรุษเพศจะพยายามหนีห่างจากสังคม แต่ผู้หญิงกลับหันเข้าหาสังคม บางคนอาจจะเข้าไปเข้าเครือข่ายสังคมออนไลน์...

นักจิตวิทยาสหรัฐฯค้นพบว่า ผู้ชายกับผู้หญิง จะประพฤติสวนทางกันเมื่อยามเครียด โดยสตรีจะพยายามผูกมิตรกับคนต่างๆ หรือไม่ก็หันเข้าหาเครือข่ายทางสังคม แต่ฝ่ายบุรุษเพศกลับทำตัวเป็นคนหนีห่างโลก

ทีมนักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย ได้พบในการศึกษาว่า เพศทั้งสองเมื่อเวลาเครียด ต่างจะประพฤติสวนทางกัน

นักวิทยาศาสตร์เคยบอกไว้ก่อนหน้าว่า คนเราเมื่อเกิดเครียดขึ้นมา เช่น ต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าหนักๆ เรามักจะทำอยู่ 2 ทาง คือไม่สู้ ก็หนี แต่บัดนี้นักจิตวิทยาพบว่า เป็นแต่เฉพาะกับผู้ชายเท่านั้น

บุรุษเพศจะพยายามหนีห่างจากสังคม แต่ผู้หญิงกลับหันเข้าหาสังคม บางคนอาจจะเข้าไปเข้าเครือข่ายสังคมออนไลน์ด้วยซ้ำ



ขอบคุณข้อมูลจิตวิทยาทั่วไปดีๆจาก ไทยรัฐออนไลน์

จิตวิทยาทั่วไป : ความลับของผู้ชาย

จิตวิทยาทั่วไป
ความลับของผู้ชาย

ใครๆ ก็บอกว่าผู้ชายมาจากดาวอังคาร (หนังสือขายดีของ ดร.จอนห์ เกรย์ ที่เขียนถึงความแตกต่างของหญิงชาย เพื่อให้เกิดการยอมรับและเข้าใจ ลดความขัดแย้ง ในการสร้างสัมพันธภาพระหว่างกัน) วันๆ คิดแต่เรื่องกีฬา เบียร์ และเรื่องบนเตียง (บางทีอาจสลับกันก็ได้) พวกผู้ชายไม่ยอมถามเส้นทางเมื่อหลง ไม่เปิดเผยความรู้สึกในใจจริงไหม รายงานพิเศษของเราจะตีแผ่ความลับของผู้ชายซึ่งคุณอาจต้องประหลาดใจ


ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง และความเชื่อเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของชาย


ใครสะอื้นไห้เวลาดูหนังเศร้า ใครจะเป็นจะตายเวลาอกหัก ไม่น่าเชื่อว่าคำตอบคือผู้ชาย ผลการศึกษาเผยว่าผู้ชายมีอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อนและเข้าใจยากไม่แพ้ผู้หญิง บางครั้งอาจลึกลับจนแม้ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ นับประสาอะไรกับผู้หญิง

แม้อารมณ์จะเป็นจุดเด่นที่สุดของผู้หญิงแต่ผู้ชายก็มีความอ่อนไหวและมีประสบการณ์ด้านอารมณ์ได้มากพอๆกัน ในการศึกษาภาวะด้านอารมณ์ของผู้ใหญ่ 500,000 คน กลุ่มตัวอย่างเพศชายระบุว่ารู้สึกอ่อนไหวสูงพอๆ กับกลุ่มตัวอย่างเพศหญิง การศึกษาคู่สามีภรรยาพบว่าทั้งสองอ่อนไหวต่อความเครียดของคู่สมรสมากเท่าๆ กัน แต่ก็สามารถปลอบโยนอีกฝ่ายได้ดีไม่แพ้กัน

แม้หญิงชายอาจถอนหายใจ ร้องไห้ เฮฮา กราดเกรี้ยว ตะโกน หรือแสดงความรำคาญได้บ่อยพอกัน แต่ทั้งสองเพศมีวิธีแสดงอารมณ์ต่างกัน “อารมณ์เป็นฉากหลังในชีวิตของผู้ชายขณะที่เป็นฉากหน้าในชีวิตของผู้หญิง” ดร. จอช โคลแมน นักจิตวิทยาผู้เขียนหนังสือ สามีจอมขี้เกียจ กล่าวว่า “ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชายซึ่งจัดหมวดหมู่สิ่งต่างๆ และมองทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า ดูเหมือนหญิงจะโอนอ่อนตามอารมณ์มากกว่าชายซึ่งพยายามจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์ดีขึ้นและทั้งคู่ก็มีความสุขมากขึ้น”


กลไกในสมอง
เมื่อ 13 ปีที่แล้ว คริส ชโรเดอร์ นักธูรกิจวัย 48 มีชีวิตเพียบพร้อม สุขภาพแข็งแรงมีงานที่ชอบ มีภรรยาและลูกสุดที่รักสองคน แต่ภายในหนึ่งเดือน ทุกอย่างก็พังทลายลง เมื่อเขาป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบจนต้องเข้าพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล จากนั้นก็ถูกปลดออกจากงาน ชีวิตแต่งงานอับปางลง เขาคาดไม่ถึงว่าชีวิตจะเลวร้ายถึงเพียงนี้ คริสทวนความหลังว่า “ผมดำเนินชีวิตต่อไปแบบซังกะตาย แต่ไม่แสดงความรู้สึกในใจมากนัก ผมไม่เฉลียวใจเลยว่าเราควรปลดปล่อยความกลัดกลุ้มออกมาบ้าง และไม่รู้ด้วยว่าควรปล่อยอย่างไร”

ทำไมผู้ชายขาดความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ คำตอบคือต้องโทษสมอง ดร. เดวิด พาวเวล ประธานศูนย์ปฏิบัติการด้านสุขภาพนานาชาติ อธิบายว่า สมองของหญิงมีการสื่อสารระหว่างซีกซ้ายซึ่งควบคุมระบบเหตุผลกับซีกขวาซึ่งควบคุมการทำงานของอารมณ์ได้ดีกว่าสมองของชาย

ทั้งหมดนี้อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมผลการศึกษาในกลุ่มสังคมต่างวัฒนธรรม 125 ฉบับ จึงระบุว่าเด็กชายกับผู้ชายตีความสารที่ได้สื่ออกมาเป็นคำพูด เช่น อากัปกิริยา สีหน้า และน้ำเสียงของคู่สนทนาผิดพลาดกว่าผู้หญิง ผู้ชายยังมีปฏิกิริยาต่ออารมณ์น้อยกว่าและลืมได้เร็วกว่า

การทดลองที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า ภาพสะเทือนอารมณ์ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในสมองของหญิงมากกว่าชาย สามสัปดาห์ต่อมา ผู้หญิงยังจำรายละเอียดของภาพได้มากกว่า นักวิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่าผลการศึกษานี้น่าจะอธิบายว่าทำไมผู้หญิงจึงพร่ำบ่นเรื่องหยุมหยิมที่สามีลืมไปตั้งนาแล้ว

การหย่าร้างซึ่งที่จริงส่งผลกระทบต่อจิตใจของชายมากกว่าหญิงนั้น บางครั้งทำให้ผู้ชายต้องสำรวจอารมณ์ของตัวเองเสียใหม่ “นานหลายปีที่ผมต่อสู้กับความกลัดกลุ้ม ซึ่งสุมแน่นอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อใด ที่คุณตระหนักว่ามีอารมณ์บางอย่างคุกรุ่นอยู่ในใจ คุณจะรู้สึกว่าเก็บกักไว้เหมือนเดิมได้ยาก ตอนนี้ผมใช้ชีวิตให้มีค่าขึ้น รับรู้สมองฝ่ายความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ถ้ารู้อย่างที่รู้ก่อนหน้านี้ ผมคงจะเป็นสามีที่ดีกว่านี้” นี่คือคำสารภาพของคริสซึ่งแต่งงานใหม่เมื่อไม่นานนี้หลังครองสถานะม่ายร่วมสิบปี


น้ำตาลูกผู้ชาย

ครั้งแรกที่โรเบิร์ต เวสต์โอเวอร์ วัย 41 เห็นพ่อร้องไห้ คือวันที่เขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนาวิกโยธินซึ่งทั้งพ่อและปู่เคยเรียนมาก่อน เนื่องจากเติบโตมากับพี่น้องผู้ชายสามคนในครอบครัวทหาร โรเบิร์ตจึงได้รับการปลูกฝังให้กินเร็ว พูดดังฟังชัดชอบการแข่งขันและเก็บกดความรู้สึก “การแสดงอารมณ์เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้ชาย” โรเบิร์ตกล่าว

เด็กชายทุกคนได้รับการสั่งสอนแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก พออายุหนึ่งขวบก็เริ่มสบตาน้อยกว่าเด็กหญิง และหันไปสนใจกับสิ่งที่เคลื่อนไหว เช่น รถยนต์ มากกว่าจะมองหน้าคน พ่อ-แม่แสดงความรู้สึกกับลูกชายน้อยกว่ากับลูกสาว (ยกเว้นอารมณ์โกรธ) เด็กชายจึงรู้จักคำศัพท์เกี่ยวกับ “อารมณ์” น้อยกว่าเด็กผู้หญิง เวลาอยู่ในสนามเด็กเล่นนอกบ้าน เด็กชายถูกสอนว่าต้องกลั้นน้ำตาและไม่ขี้ขลาด เมื่อเข้าโรงเรียนใบหน้าของเด็กชาย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเปิดเผยไม่ต่างจากเด็กหญิงเริ่มแสดงอารมณ์น้อยลงเรื่อยๆ

พอโตเป็นผู้ใหญ่ ชายจะพูดน้อยลง อย่างน้อยเวลาอยู่หน้าสาธารณชน ชายจะพูดเพื่อแสดงว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น ตรงข้ามกับผู้หญิงซึ่งจะพูดเพื่อดึงดูดความสนใจคนรอบข้าง แม้แต่กับเพื่อนส่วนใหญ่ ผู้ชายก็อาศัยคำพูดเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านงานช่าง กีฬา รถยนต์ คอมพิวเตอร์ “ผู้หญิงพูดเพื่อให้หัวสมองปลอดโปร่ง แต่ผู้ชายคิดก่อนพูด” นายแพทย์มาร์ก กูลส์ทัน จิตแพทย์และผู้แต่งหนังสือ เคล็ดลับหกประการให้สัมพันธภาพยืนยาว (The 6 Secrets of Lasting Relationship) “ถ้าไม่คิดก่อนพูดผู้ชายอาจหลุดปากพูดอะไรโง่ๆ ออกไปจนเสียหน้า หรืออาจพูดไม่เข้าหูคนจนกลายเป็นเรื่องชกต่อย ทางที่ดีคือไม่พูดอะไรเลย”

อะไรซ่อนอยู่ภายหลังหน้ากากเหล็กและความเงียบขรึมของผู้ชาย ความอ่อนแอไงละ ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าผู้ชายส่วนใหญ่รู้สึกไม่มั่นคงโดยตัวเองยากจะยอมรับ และไม่มั่นคงเกินกว่าที่ภรรยาคาดเดาไว้ “ผู้ชายทุกคนมีความกลัวลับๆ อยู่อย่างหนึ่งว่าจะไร้สมรรถภาพและความกล้าหาญ เรียกว่ากลัวตัวเองจะไม่เป็นชายอย่างที่ควรจะเป็น หมอกูลส์ทันกล่าว “ผู้ชายรู้ว่ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้าข้าวของในบ้านพังจะต้องซ่อมได้ เมื่อรู้สึกว่าตนไร้ความสามารถก็จะถอยห่างและปลีกตัวออกไป”

กฎเกณฑ์และบทบาทระหว่างชายหญิงเริ่มผ่อนปรนบ้างแล้ว ชายบางคนกล้าพอจะเปิดเผยความอ่อนแอของตน แต่หลายคนยังสับสนว่าควรเปิดเผยแค่ไหน “ผู้หญิงบอกว่าอยากให้พวกเราเปิดเผยความรู้สึก” โรเบิร์ตกล่าว “แต่เดี๋ยวก็บอกว่าอยากเห็นเราเป็นหลักอันมั่นคงให้เธอ เหมือนเรียกร้องให้เรากระโดดไปมาระหว่างความสุดโต่งสองขั้ว ซึ่งสับสนมาก ผู้ชายไม่มีแนวทางหรือตัวอย่างว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเปิดเผยความรู้สึกและเข้มแข็งไปพร้อมกัน"


ทำไมผู้ชายระเบิดอารมณ์

แม้ผู้หญิงจะรู้สึกโกรธบ่อยพอๆ กับผู้ชาย แต่ความฉุนเฉียวก็ยังเป็นอารมณ์ประจำตัวเพศชายอยู่ดี “ลูกยังพูดถึงตอนที่ผม “เบรกแตก” อยู่เลย” คิม การ์เรทัน พนักงานบริษัทวัย 54 ปี ซึ่งเคยระเบิดอารมณ์สุดขีดในร้าน เมื่อพนักงานนำอาหารเย็นชืดมาเสิร์ฟ

แล้วทำไมผู้ชายหลายคนถึงแสดงอาการกราดเกรี้ยว “ความโกรธมีสาเหตุมาจากจิตใจที่สับสนเมื่อต้องเก็บกดอารมณ์บางอย่างไว้ ชายทุกคนพยายามเก็บความรู้สึกเพราะกลัวว่าการเปิดเผยเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การปอกเปลือกจนหมดใจ” ดร. เคนแนท ดับเบิลยู. คริสเตียน นักจิตวิทยาและผู้เขียนศัตรูตัวร้ายของคุณ (Your Own Worst Enemy) กล่าว “ถ้าคุณไม่หาทางปลดปล่อยมันออกมาบ้างหรือหาวิธีจัดการอย่างถูกต้องอารมณ์เหล่านี้จะเป็นเหมือนไฟคุกรุ่น รอเวลาลุกโหมขึ้นมาเมื่อชีวิตของคุณพังครืนลง เพราะปัญหาบางอย่าง”

ชีวิตคิมพังทลายเมื่อสี่ปีก่อนหลังหมอลงความเห็นว่าเขาเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก สิ่งที่ตามมาก็เหมือนกับสิ่งที่เกิดกับชายหลายคนเมื่อรู้ว่าตัวเองป่วยหนัก คิมตระหนักว่าชีวิตเขาไม่มีอะไรต้องเสีย มีแต่ได้เท่านั้น ขอเพียงปล่อยให้ตัวเองมีอารมณ์ตามจริง “ผมกล้าแสดงอารมณ์ทุกอย่าง” คิมกล่าว “ถ้าโกรธ ผมก็ระบายด้วยคำพูดเจ็บแสบแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป ผมใช้อารมณ์ขันเป็นทางออกและกลับไปติดต่อกับเพื่อนเก่าๆ ตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิต แสวงหาความหมายทางจิตวิญญาณ ชีวิตผมเต็มไปด้วยความสุขและรื่นรมย์”


ลองวิธีนี้


ผู้ชายสามารถแสดงอารมณ์โดยไม่ต้องร้องไห้หรือรู้สึกกลัว ต่อไปนี้เป็นวิธีเริ่มต้น

หาวิธีแสดงอารมณ์อย่างสร้างสรรค์หางานอดิเรกอย่างวาดรูปหรือเล่นดนตรี ผลงานศิลปะอันยิ่งใหญ่จำนวนมากเป็นการสร้างสรรค์ของเพศที่ได้ชื่อว่าเก็บกดที่สุด

ระบายความเครียดและโกรธด้วยการออกกำลัง “เมื่อรู้สึกกดดันสุดขีดจนอยากเอาหัวชนฝา ให้รีบหาทางออกกำลัง บางทีแค่สิบนาทีอาจยังไม่พอ”

แสดงอารมณ์ออกไป “นิดหน่อย” เริ่มจากความรู้สึกที่คุณควบคุมได้หาคนที่เข้าใจและใช้คำว่า “นิดหน่อย” เช่น เศร้า “นิดหน่อย” หรือ กลัว “นิดหน่อย” อย่างนี้จะปลอดภัยกว่าการเปิดเผยจนหมดเปลือก

เดินหน้าเข้าชน “แทนที่จะหลีกเลี่ยงอารมณ์ที่คุณไม่แน่ใจว่าจะจัดการได้ ทางที่ดีคือเดินหน้าเข้าหา” ดร. ทราวิส แบรดเบอรี่ นักจิตวิทยา กล่าว “การจัดการกับอารมณ์ของตนเป็นเรื่องที่อาศัยเวลาและการฝึกฝนเพราะเป็นการฝึกสมอง แต่ยิ่งทำก็ยิ่งง่าย”


ผู้ชายสามารถแสดงอารมณ์โดยไม่ต้องร้องไห้หรือรู้สึกกลัว ต่อไปนี้เป็นวิธีเริ่มต้น

หาวิธีแสดงอารมณ์อย่างสร้างสรรค์หางานอดิเรกอย่างวาดรูปหรือเล่นดนตรี ผลงานศิลปะอันยิ่งใหญ่จำนวนมากเป็นการสร้างสรรค์ของเพศที่ได้ชื่อว่าเก็บกดที่สุด

ระบายความเครียดและโกรธด้วยการออกกำลัง “เมื่อรู้สึกกดดันสุดขีดจนอยากเอาหัวชนฝา ให้รีบหาทางออกกำลัง บางทีแค่สิบนาทีอาจยังไม่พอ”

แสดงอารมณ์ออกไป “นิดหน่อย” เริ่มจากความรู้สึกที่คุณควบคุมได้หาคนที่เข้าใจและใช้คำว่า “นิดหน่อย” เช่น เศร้า “นิดหน่อย” หรือ กลัว “นิดหน่อย” อย่างนี้จะปลอดภัยกว่าการเปิดเผยจนหมดเปลือก

เดินหน้าเข้าชน “แทนที่จะหลีกเลี่ยงอารมณ์ที่คุณไม่แน่ใจว่าจะจัดการได้ ทางที่ดีคือเดินหน้าเข้าหา” ดร. ทราวิส แบรดเบอรี่ นักจิตวิทยา กล่าว “การจัดการกับอารมณ์ของตนเป็นเรื่องที่อาศัยเวลาและการฝึกฝนเพราะเป็นการฝึกสมอง แต่ยิ่งทำก็ยิ่งง่าย”

ผู้หญิงต้องรู้


“ชายก็เหมือนปูเสฉวน” คริสกล่าว “ถ้าเปิดเผยความรู้สึกแล้วต้องเจ็บปวดเพิ่ม เราจะหดกลับเข้าไปในกระดองและไม่โผล่หัวออกมาอีก เราไม่ยอมให้ใครมาถากถางหรือเยาะเย้ยเราต้องบ่มตัวเองอยู่นานกว่าจะรู้สึกปลอดภัย” ต่อไปนี้เป็นวิธีที่ผู้หญิงสามารถทำได้เพื่อช่วยให้ผู้ชายข้างกายรู้สึกสบายใจที่จะแสดงความรู้สึก

เวลาพูด ให้อยู่”เคียงข้าง” แทนที่จะ “ประจันหน้า” นักจิตวิทยากล่าวว่า การยืนเผชิญหน้ากับผู้ชายจะทำให้เขารู้สึกว่าถูกท้าทายและยั่วยุ เพราะฉะนั้น แทนที่จะนั่งตรงข้ามกับสามี ควรนั่งข้างๆ เขา

ทำกิจกรรมประเภทกีฬาร่วมกัน เวลาปั่นจักรยานหรือเดินป่า ปราการในหัวใจผู้ชายจะอ่อนบางลง ดังนั้น จึงควรปล่อยให้เรื่องราวต่างๆ ผุดขึ้นมาอย่าเร่งเร้าให้พูดเวลาเดิน เพราะเขาอาจปิดปากเอาดื้อๆ

หัดดูหนังชีวิตแบบผู้ชาย หนังชีวิตเกี่ยวกับกีฬาทำให้ผู้ชายไม่น้อยซึ้งถึงกับน้ำตาซึม “กีฬาเป็นเครื่องยึดโยงระหว่างผู้ชายกับพ่อ สำหรับผู้ชายนี่คือรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อ” อย่าพยายามวิเคราะห์หรือวิจารณ์ชีวิตวัยเด็กของเขา

อย่ากดดันให้เขาพูดว่าผจญอะไรมาบ้างในวันเลวร้ายสุดๆ “ถ้าวันไหนทุกอย่างแย่ไปหมด เขาเองก็ไม่อยากพูดถึงความเจ็บปวดแบบนี้หรอก” นักจิตวิทยากล่าว “จะมีประโยชน์อะไรกับการนั่งคุยเรื่องหดหู่ตลอดค่ำในเมื่อไม่ช่วยให้แก้ปัญหาได้”

แสดงออกไม่ต้องพูด การพูดคุยอาจเป็นวิธีแสดงอารมณ์ที่ผู้หญิงนิยมใช้มากที่สุด “ผู้ชายแสดงอารมณ์ด้วยภาษากาย” นักจิตวิทยากล่าวว่า “เพศสัมพันธ์เป็นวิธีแสดงความรักอีกอย่าง” แทนที่จะบีบคั้นให้ผู้ชายถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดทางที่ดีควรหัดพูดภาษาของเขา

หาทางทำให้เขาทราบเมื่อคุณต้องการกำลังใจ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยโทเลวิจัยพบว่าสามีอาจอ่อนแอและต้องการกำลังใจไม่ต่างจากภรรยา เพียงขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาเท่านั้น “ผู้ชายไม่ถึงกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่ภรรยาต้องทำให้เขาทราบว่าตัวภรรยาเองต้องการอะไรและเมื่อไหร่”

บอกสามีว่าเขามีความหมายต่อคุณเพียงไร “เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังให้ถามสามีว่า “ทุกวันนี้ ฉันทำให้คุณรู้สึกชื่นชมและให้เกียรติคุณน้อยกว่าเมื่อตอนเจอกันครั้งแรกหรือเปล่า” จิตแพทย์แนะ “บอกเขาว่าคุณรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกโชคดีมากที่ทีเขามาร่วมชีวิตด้วย และขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกให้รู้เช่นนั้นบ่อยๆ เชื่อว่าคุณผู้ชายจะต้องถึงอ้าปากค้างแน่นอน”

ขอบคุณข้อมูลจิตวิทยาทั่วไปดีๆจาก ไดแอน เฮลส์/ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ มิถุนายน 2549 หน้า 81-87



จิตวิทยาความรัก : จะรู้ได้ไง ว่าหญิงมีใจ

จิตวิทยาความรัก

จะรู้ได้ไง ว่าหญิงมีใจ

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิง จะรักจะชอบใครมันก็ต้องเก็บอาการกันบ้าง แต่การเก็บงำอารมณ์แบบนี้ ยิ่งทำให้ผู้ชายที่กำลังตามส่งข้าวส่งน้ำ อาจจะรู้สึกท้อแท้ใจจนไม่อยากสู้ต่อ ไทยรัฐออนไลน์จึงอยากช่วยให้ชายหนุ่มมีกำลังใจในการพิชิตใจสาวในฝัน ด้วยการสังเกตท่าทาง หรือการกระทำบางอย่างของผู้หญิงที่หมายปอง ว่าตอนนี้เขากำลังชอบคุณตอบกลับมาเหมือนกัน

1. สนใจในสิ่งที่คุณสนใจ
ผู้หญิงที่เริ่มจะเทใจให้กับคุณผู้ชาย จะตั้งต้นศึกษาในกิจกรรมที่คุณสนใจ อย่างเช่น ภาพยนตร์ รถยนต์ หรือแม้แต่เกม เพื่อให้การสนทนาและการออกเดทราบรื่น และยิ่งทำให้คุณผู้ชายทั้งหลายรู้สึกคลั่งในตัวหญิงสาวคนนี้ เพราะว่าพูดคุยกันด้วยภาษาเดียวกัน

2. หัดเล่นกีฬาที่ไม่ชอบ
ถ้าผู้หญิงแอบหัดไปฝึกเล่นกีฬาที่ชายหนุ่มคนที่มาจีบชอบเล่นในช่วงวันหยุดแล้วล่ะก็ ขอให้ฟันธงได้เลยว่า คุณเธอมีใจให้คุณเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากพวกเธอคิดว่าการใช้เวลาช่วงวันหยุดด้วยการเล่นกีฬาพร้อมกัน จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์รุดหน้า และเป็นการเอาใจฝ่ายชายไปในตัว

3. ข้าวกล่องสื่อรัก
เสน่ห์ปลายจวักของผู้หญิงถือเป็นบ่วงรักที่ผู้ชายหลายคนถอนตัวไม่ขึ้น จึงไม่แปลกที่สาวๆส่วนใหญ่เลือกจะโชว์ฝีมือการทำอาหาร และนำมามอบให้กับชายที่หมายปอง โดยพวกเธออาจจะสงวนท่าทีว่า ทำมาเยอะเลยเอามาแบ่งให้ทาน หรือลองทำสูตรใหม่ก็อยากให้ชิมดู ซึ่งหนุ่มๆก็สมควรจะขอบคุณอย่างสุดซึ้ง พร้อมกับรับประทานให้หมด แม้รสชาติจะไม่ถูกปากก็ตามที

4. ยอมรับข้อเสีย
ถ้าผู้หญิงหยุดบ่นในสิ่งที่ขวางหูขวางตา และมองว่าสิ่งที่ชายตรงหน้ากำลังทำเป็นเรื่องที่อดทนได้ ถือว่าผู้หญิงกำลังมีใจ เนื่องจากเพศหญิงมักเป็นฝ่ายบ่น จู้จี้ ไม่สามารถหยุดปากจะพูดถึงสิ่งที่ไม่ชอบไม่ได้หรอก หากคนที่ทำตรงหน้าเป็นแค่เพื่อน แต่ถ้าฝ่ายหญิงเริ่มมองว่าคุณเป็นคนพิเศษ ความเกรงใจและอดทนจึงเกิดขึ้น

5. เชื่อมั่นในทุกคำพูด
ลองผู้หญิงรู้จักความรักแล้วล่ะก็ ความมั่นใจในตัวเองจะเริ่มถดถอยลง จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง จะเริ่มถามหาคำปรึกษาจากชายหนุ่มผู้มาติดพันมากขึ้น ปล่อยให้เรื่องทุกเรื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตที่ต้องการคู่คิดตลอดเวลา ตั้งแต่ซื้อเสื้อผ้า รองเท้า ไปจนถึงเรื่องเส้นทางบนท้องถนน ดังนั้นหากผู้หญิงเริ่มขยันโทรหาฝ่ายชาย โดยถามเรื่องเล็กๆน้อยๆก็สามารถคอนเฟิร์มได้เลยว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังวางใจ และพร้อมจะรับคุณเข้ามาร่วมอนาคตด้วยกัน

ข้อมูล : nwso.net Twitter : quet

ขอบคุณข้อมูล จิตวิทยาความรัก จากไทยรัฐออนไลน์

photo credit : add-th-vanillasky.blogspot.com, dexknows.com, weheartit.com